รีเซต

วิเคราะห์ปรากฏการณ์ "Angel of Maesai": ศิลปะ ความเชื่อ และสังคมไทย

วิเคราะห์ปรากฏการณ์ "Angel of Maesai": ศิลปะ ความเชื่อ และสังคมไทย
TNN ช่อง16
18 กันยายน 2567 ( 08:53 )
24
วิเคราะห์ปรากฏการณ์ "Angel of Maesai": ศิลปะ ความเชื่อ และสังคมไทย

เมื่อ "แองเจิล" กลายเป็น "แพะ"


เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ในเดือนกันยายน 2567 ไม่เพียงสร้างความเสียหายทางกายภาพ แต่ยังก่อให้เกิดปรากฏการณ์ทางสังคมที่น่าสนใจ เมื่องานศิลปะ "Angel of Maesai" ถูกกล่าวหาว่าเป็นสาเหตุของภัยพิบัติ ประติมากรรมที่เคยเป็นสัญลักษณ์แห่งความงามและความหลากหลายทางวัฒนธรรมของแม่สาย กลับถูกมองว่าเป็นตัวการที่นำความหายนะมาสู่ชุมชน


ปรากฏการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงความขัดแย้งระหว่างความเชื่อดั้งเดิมและความคิดสมัยใหม่ในสังคมไทย ในขณะที่บางส่วนของสังคมพยายามหาคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์สำหรับภัยธรรมชาติ อีกส่วนหนึ่งกลับหันไปพึ่งพาความเชื่อเรื่องโชคลางและสิ่งลี้ลับ การเปลี่ยนแปลงมุมมองที่มีต่อ "Angel of Maesai" จึงเป็นภาพสะท้อนของความขัดแย้งทางความคิดที่ดำรงอยู่ในสังคมไทยร่วมสมัย


เสียงคัดค้านจากวงการศิลปะ: "บ้าบอคอแตก" และ "โลกเขาไปถึงไหนแล้ว"


อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินแห่งชาติ ได้แสดงความไม่เห็นด้วยอย่างรุนแรงต่อการกล่าวโทษงานศิลปะ โดยใช้คำว่า "บ้าบอคอแตก" และถามว่า "โลกเขาไปถึงไหนแล้ว" คำพูดที่ตรงไปตรงมานี้สะท้อนความคับข้องใจของวงการศิลปะที่ถูกโจมตีอย่างไร้เหตุผล


การตัดสินใจย้าย "Angel of Maesai" กลับสู่หอศิลป์เชียงราย ไม่เพียงแต่เป็นการปกป้องผลงานจากการถูกทำลายทางกายภาพ แต่ยังเป็นการประท้วงเชิงสัญลักษณ์ต่อความเชื่อที่ไร้เหตุผล การกระทำนี้แสดงให้เห็นถึงความพยายามของวงการศิลปะในการยืนหยัดปกป้องคุณค่าของศิลปะในฐานะเครื่องมือแห่งการแสดงออกและสะท้อนสังคม


มุมมองของศิลปิน: จาก "Angel of Maesai" สู่ "น้องม้งหัวขาด" ?? 


ไกรวุฒิ ดอนจักร ศิลปินผู้สร้างผลงาน "Angel of Maesai" ได้อธิบายถึงแรงบันดาลใจและความหมายเบื้องหลังผลงานชิ้นนี้ โดยระบุว่าเป็นการรวมเอกลักษณ์ของ 10 ชาติพันธุ์ในแม่สายเข้าด้วยกัน สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามในการสร้างสรรค์งานที่มีความหมายและเชื่อมโยงกับท้องถิ่น


การที่ผลงานถูกเรียกว่า "น้องม้งหัวขาด" แสดงให้เห็นถึงการด้อยค่าและความไม่เข้าใจในคุณค่าของศิลปะ นอกจากนี้ยังสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาการเหมารวมและอคติทางชาติพันธุ์ที่ยังคงมีอยู่ในสังคมไทย การลดทอนคุณค่าของงานศิลปะที่มีความหมายลึกซึ้งให้กลายเป็นเพียง "ตัวตลก" หรือ "ผีร้าย" แสดงให้เห็นถึงช่องว่างทางความเข้าใจระหว่างศิลปินและสาธารณชนบางส่วน


ไกรวุฒิ ดอนจักร ได้อธิบายถึงแนวคิดเบื้องหลังผลงานของเขา โดยเน้นย้ำว่าไม่เกี่ยวข้องกับชาวม้งแต่อย่างใด แต่เป็นการผสมผสานเอกลักษณ์ของ 10 ชาติพันธุ์ในแม่สาย โดยเน้นไปที่เครื่องประดับอาข่า เขายอมรับว่าไม่สามารถควบคุมความคิดของผู้ที่เชื่อในเรื่องไสยศาสตร์ได้ แต่ก็มองว่าผลงานของเขาได้ทำหน้าที่รับใช้สังคมอย่างคุ้มค่าแล้ว 


นอกจากนี้ เขายังเรียกร้องให้สื่อและสังคมหันมาให้ความสนใจกับปัญหาที่แท้จริงที่ก่อให้เกิดน้ำท่วม เช่น การทำลายป่าเพื่อปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ การรุกล้ำแม่น้ำ ปัญหาชุมชนแออัด และระบบเตือนภัยที่ไร้ประสิทธิภาพ แทนที่จะโทษงานศิลปะ


Kraiwut Donjuk



ความเชื่อ vs. วิทยาศาสตร์: เมื่อน้ำท่วมถูกเชื่อมโยงกับความงมงาย


การโทษงานศิลปะว่าเป็นสาเหตุของภัยธรรมชาติสะท้อนให้เห็นถึงความขัดแย้งระหว่างความเชื่อดั้งเดิมและองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ในขณะที่นักวิทยาศาสตร์และนักสิ่งแวดล้อมพยายามอธิบายสาเหตุของน้ำท่วมด้วยปัจจัยทางธรรมชาติและการกระทำของมนุษย์ เช่น การตัดไม้ทำลายป่า หรือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แต่ความเชื่อเรื่องโชคลางและสิ่งลี้ลับก็ยังคงมีอิทธิพลต่อการตีความเหตุการณ์ของคนบางกลุ่ม


ปรากฏการณ์นี้ชี้ให้เห็นถึงความท้าทายในการสร้างความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์ในสังคมไทย และความจำเป็นในการส่งเสริมการคิดเชิงวิพากษ์และการรู้เท่าทันข้อมูลข่าวสาร


พลังของโซเชียลมีเดีย: #SaveArt #SaveChiangrai


ท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์ ชุมชนศิลปะและผู้ใช้โซเชียลมีเดียจำนวนมากได้ลุกขึ้นมาปกป้องศิลปะผ่านแคมเปญ #SaveArt #SaveChiangrai การตอบรับอย่างท่วมท้นแสดงให้เห็นว่ายังมีผู้คนจำนวนมากที่เข้าใจคุณค่าของศิลปะและต้องการรักษาไว้ซึ่งเสรีภาพในการแสดงออกทางศิลปะ


ปรากฏการณ์นี้แสดงให้เห็นถึงพลังของโซเชียลมีเดียในการระดมความคิดเห็นและสร้างความเปลี่ยนแปลงทางสังคม ในขณะเดียวกัน ก็สะท้อนให้เห็นถึงความแตกแยกทางความคิดในสังคม ระหว่างกลุ่มที่สนับสนุนศิลปะและเสรีภาพในการแสดงออก กับกลุ่มที่ยึดติดกับความเชื่อดั้งเดิม


ขัวศิลปะ



บทเรียนราคาแพง: ศิลปะในสังคมที่ยังขาดความเข้าใจ


เหตุการณ์ "Angel of Maesai" เป็นบทเรียนราคาแพงสำหรับวงการศิลปะและสังคมไทยโดยรวม มันชี้ให้เห็นถึงช่องว่างที่ยังคงมีอยู่ระหว่างศิลปินและสาธารณชน ความไม่เข้าใจในบทบาทและคุณค่าของศิลปะในสังคม และความท้าทายในการสื่อสารแนวคิดที่ซับซ้อนผ่านงานศิลปะในบริบทที่ยังคงมีความเชื่อดั้งเดิมอยู่มาก


บทเรียนนี้เรียกร้องให้มีการส่งเสริมการศึกษาด้านศิลปะและการคิดเชิงวิพากษ์มากขึ้นในสังคมไทย เพื่อสร้างความเข้าใจและการยอมรับในความหลากหลายของการแสดงออกทางศิลปะ


เกินกว่าดราม่า: สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างในสังคมไทย


ปรากฏการณ์ "Angel of Maesai" ไม่ใช่เพียงดราม่าในโลกโซเชียล แต่เป็นภาพสะท้อนของปัญหาเชิงโครงสร้างในสังคมไทยหลายประการ ได้แก่


1. ความขัดแย้งระหว่างความเชื่อดั้งเดิมและความคิดเชิงวิทยาศาสตร์

2. การขาดความเข้าใจในคุณค่าและบทบาทของศิลปะในสังคม

3. ปัญหาการศึกษาที่ยังไม่สามารถสร้างทักษะการคิดวิเคราะห์และการรู้เท่าทันสื่อได้อย่างเพียงพอ

4. การมองหาแพะรับบาปเมื่อเกิดภัยพิบัติ แทนที่จะมุ่งแก้ไขปัญหาที่รากเหง้า

5. อคติทางชาติพันธุ์และการเหมารวมที่ยังคงมีอยู่ในสังคม


การแก้ไขปัญหาเหล่านี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในสังคม และต้องใช้เวลาในการสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืน


 ศิลปะไม่ใช่ผู้ทำลาย แต่เป็นกระจกสะท้อนสังคม


เหตุการณ์ "Angel of Maesai" เป็นบทเรียนสำคัญที่กระตุ้นให้สังคมไทยต้องทบทวนความสัมพันธ์ระหว่างศิลปะ ความเชื่อ และวิทยาศาสตร์ แม้ว่าประติมากรรมชิ้นนี้จะถูกกล่าวหาว่าเป็นต้นเหตุของภัยพิบัติ แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันกลับเป็นตัวสะท้อนปัญหาที่ซ่อนอยู่ในสังคม ทั้งด้านการศึกษา การคิดวิเคราะห์ และความเข้าใจในความหลากหลายทางวัฒนธรรม


ปรากฏการณ์นี้เปิดโอกาสให้เราได้พิจารณาถึงความสำคัญของการพัฒนาทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ การส่งเสริมความเข้าใจในคุณค่าของศิลปะ และการสร้างพื้นที่สำหรับการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์ การเรียนรู้จากเหตุการณ์นี้จะช่วยให้สังคมไทยก้าวไปสู่การเป็นสังคมที่มีความเข้าใจในความแตกต่าง มีเหตุผล และตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น


--------------------------------------------------------------------


ในท้ายที่สุด "Angel of Maesai" ไม่ควรถูกจดจำในฐานะ "แพะรับบาป" ของภัยพิบัติ แต่ควรเป็นสัญลักษณ์ของการเริ่มต้นใหม่ - การเริ่มต้นของการสนทนาที่สร้างสรรค์ การเปิดใจยอมรับความแตกต่าง และการร่วมมือกันแก้ไขปัญหาที่แท้จริงของสังคม


ศิลปะ เช่นเดียวกับ "Angel of Maesai" มีพลังในการกระตุ้นให้เกิดการตั้งคำถาม ท้าทายความเชื่อเดิม และนำเสนอมุมมองใหม่ๆ ต่อโลกรอบตัวเรา หากสังคมไทยสามารถเรียนรู้จากเหตุการณ์นี้และใช้มันเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวก "Angel of Maesai" จะไม่เพียงแต่เป็นงานศิลปะที่สวยงาม แต่ยังเป็นตัวแทนของการเติบโตทางปัญญาและการพัฒนาของสังคมไทยในศตวรรษที่ 21


การเดินทางสู่สังคมที่เปิดกว้าง มีเหตุผล และเคารพในความหลากหลายอาจเป็นเส้นทางที่ยาวไกล แต่เหตุการณ์ "Angel of Maesai" ได้จุดประกายการเริ่มต้นที่สำคัญ ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องเรียนรู้ที่จะมองศิลปะด้วยสายตาที่เปิดกว้าง ยอมรับในความแตกต่าง และใช้มันเป็นเครื่องมือในการสร้างสังคมที่ดีกว่าเดิม เพราะในท้ายที่สุด ศิลปะไม่ใช่ผู้ทำลาย แต่เป็นผู้สร้างสรรค์ - สร้างความงาม สร้างแรงบันดาลใจ และสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีให้กับสังคมของเรา




เรียบเรียง ยศไกร รัตนบรรเทิง บรรณาธิการ TNN 

ภาพ : Kraiwut Donjuk / ขัวศิลปะ 

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง