รีเซต

“แม่สาย” ต้องย้ายหนี? เมื่อน้ำป่าข้ามพรมแดน-การรุกล้ำลำน้ำ เป็นปัญหาที่แก้ไม่ตก

“แม่สาย” ต้องย้ายหนี? เมื่อน้ำป่าข้ามพรมแดน-การรุกล้ำลำน้ำ เป็นปัญหาที่แก้ไม่ตก
TNN ช่อง16
29 พฤษภาคม 2568 ( 13:12 )
7

แม่สายในภาวะเสี่ยง บทเรียนที่ต้องเร่งจัดการ

ประเทศไทยเพิ่งย่างเข้าสู่ฤดูฝน แต่สำหรับอำเภอแม่สาย จ.เชียงราย กลับเผชิญกับน้ำท่วมหนักถึง 2 ครั้งในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ทั้งที่ยังไม่เข้าสู่ช่วงน้ำหลากจริงตามฤดูกาล ซึ่งโดยปกติจะเกิดขึ้นในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคมของทุกปี

แม้สถานการณ์น้ำ อ.แม่สาย จ.เชียงราย จะกลับเข้าสู่สถานการณ์ปกติและอยู่ในช่วงฟื้นฟู แต่ในมุมมองของผู้เชี่ยวชาญเห็นตรงกันว่ายังไม่อาจวางใจ เพราะพื้นที่ อ.แม่สาย ในจุดที่อยู่ริมน้ำแม่สาย โดยเฉพาะตลาดสายลมจอย และชุมชนโดยรอบ กลายเป็นจุดเปราะบาง เสี่ยงต่อการเกิดภัยพิบัติรุนแรง

“น้ำท่วมและดินโคลนถล่มในแม่สายจะเกิดอีกหลายระลอก ความถี่และความรุนแรงของการเกิดภัยพิบัติจะมากยิ่งขึ้น ไม่น้อยกว่าปี 2567”
คือคำยืนยันของ ดร.ธนพล พิมาน หัวหน้าฝ่ายบริหารจัดการน้ำจากสถาบันสิ่งแวดล้อมสตอกโฮล์ม (Stockholm Environment Institute – SEI) หนึ่งในนักวิชาการที่ติดตามเหตุการณ์น้ำท่วมบริเวณพื้นที่แม่สาย–ท่าขี้เหล็ก มาตั้งแต่ปี 2562



ดร.ธนพลชี้ว่า ปีนี้ฝนมาเร็วและมาในปริมาณมากผิดปกติ ซึ่งในอดีตคนแม่สายเคยรับมือกับน้ำท่วมที่สูงแค่ตาตุ่มและไม่มีโคลน แต่วันนี้น้ำที่ไหลบ่าเข้าสู่พื้นที่แม่สายไม่ได้มากเฉพาะปริมาณ หากแต่ยังพ่วงเอาตะกอนและดินโคลนจำนวนมากจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งไม่เพียงสร้างความเสียหายกับทรัพย์สินและสุขภาพของชุมชน แต่ยังทำให้พื้นที่ใช้การไม่ได้ในระยะยาว

นักวิชาการจาก SEI มองว่าน้ำท่วมแม่สายไม่ใช่แค่ปัญหาเฉพาะหน้า หากแต่กำลังกลายเป็น “ต้นทุนซ่อนเร้น” ที่เพิ่มขึ้นทุกปี โดยเฉพาะในพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญอย่าง “ตลาดแม่สาย” ซึ่งต้องใช้งบประมาณมหาศาลในการล้างโคลน ฟื้นฟูร้านค้า และกู้ภาพลักษณ์เศรษฐกิจชายแดน

แม้จะมีความพยายามสร้างกำแพงกันน้ำในจุดเสี่ยงหลายจุดในแม่สาย แต่ ดร.ธนพล ชี้ว่า มาตรการนี้ “ช่วยลดผลกระทบได้บางส่วนเท่านั้น” เพราะน้ำในพื้นที่แม่สายสามารถหลากมาได้หลายทิศทาง หากป้องกันไม่ทัน น้ำอาจทะลักเข้าพื้นที่โดยไม่คาดคิด

“หากวันหนึ่งน้ำมามากกว่าระดับกำแพง อาจเกิดการไหลบ่าที่รุนแรงกว่าเดิม เนื่องจากแรงดันน้ำที่สะสมไว้ด้านนอก”

การสร้างกำแพงกันน้ำ มุมหนึ่งคือการบรรเทาปัญหา แต่ก็อาจกลายเป็น “ดาบสองคม” หากไม่มีการออกแบบเชิงระบบและทบทวนทั้งภาพใหญ่


สัญญาณอันตราย เมืองขยาย-แม่น้ำแคบลง  

รองศาสตราจารย์ชูโชค อายุพงศ์ หัวหน้าศูนย์ความเป็นเลิศด้านการจัดการภัยพิบัติทางธรรมชาติ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ให้สัมภาษณ์กับ TNN ONLINE โดยมองว่าปัญหาหลักของพื้นที่คือ ความสามารถในการรับน้ำที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จากที่เคยรับได้ระดับหนึ่ง ตอนนี้ลำน้ำแม่สายเหลือเพียง 40% เท่านั้น

ปัจจัยสำคัญคือการกีดขวางทางน้ำ เช่น การรุกล้ำลำน้ำ การสร้างบ้านเรือนในพื้นที่เสี่ยง ซึ่งพบการรุกล้ำลำน้ำเข้าไปทั้งสองฝั่งแม่น้ำ ส่งผลให้ลำน้ำเดิมที่กว้างราว 150 เมตร ปัจจุบันความกว้างของลำน้ำเหลือเพียง 20–30 เมตรเท่านั้น“กรณีแม่สายถือว่าเป็นตัวอย่างชัดเจน เพราะมีการตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ลำน้ำโดยตรง เช่น ตลาดสายลมจอย ซึ่งพบสิ่งปลูกสร้างจำนวนมากอยู่ในแม่น้ำ ไม่ได้อยู่ริมตลิ่ง”

“เราทำนายได้เลยว่า ปีนี้แม่สายจะท่วมอย่างน้อย 5–6 ครั้ง เหมือนกับมีคนไปนั่งอยู่กลางแม่น้ำเจ้าพระยา และบอกว่าไม่อยากเปียกน้ำ” รศ.ชูโชค กล่าว

ทางรอดแม่สาย : สู้ต่อ หรือ ย้ายหนี?

หนึ่งในประเด็นร้อนของแม่สายขณะนี้คือแนวคิด “ย้ายตลาด” ออกจากแนวน้ำท่วมซ้ำซาก เพื่อแก้ปัญหาระยะยาว มากกว่าการป้องกันและฟื้นฟูทุกฤดูกาลน้ำหลาก 

รศ.ชูโชค ยืนยันว่าปัญหาเรื้อรังของพื้นที่แม่สายไม่มีทางแก้หากไม่ยอม “เอาคนออก” จากพื้นที่รุกล้ำ พร้อมทั้งจัดการพื้นที่โดยรอบอย่างจริงจัง เพราะทุกวันนี้ แม่สายกลายเป็นพื้นที่เปราะบางและล่อแหลมมาก เพียงแค่เกิดฝนตกหนัก ไม่ถึงขั้นมรสุมในลุ่มน้ำสายที่อยู่ฝั่งเขตเมียนมา ก็มีความเสี่ยงต่อพื้นที่ทันที

ขณะที่ ดร.ธนพล สนับสนุนว่า ควรย้ายชุมชนออก 70% ของพื้นที่ตลาด โดยเปลี่ยนให้เป็น "พื้นที่กันชน" (Buffer Zone) หรือพื้นที่สีเขียวที่รับน้ำหลากได้ในช่วงฤดูฝน และสามารถใช้เป็นพื้นที่ค้าขายในฤดูแล้งแทน ซึ่งถือเป็นแนวคิดแบบ “การอยู่ร่วมกับน้ำ” มากกว่าการ “ต่อสู้กับน้ำ” ซึ่งสอดคล้องกับบริบทของการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศในปัจจุบัน



การแก้ปัญหาภัยพิบัติไร้พรมแดน

หัวหน้าฝ่ายบริหารจัดการน้ำจากสถาบันสิ่งแวดล้อมสตอกโฮล์ม ย้ำว่าสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใต้โคลนตะกอนที่เข้าโจมตีแม่สายในระยะหลัง คือ “ต้นตอปัญหาข้ามพรมแดน” ที่ไทยแทบไม่มีอำนาจควบคุม เช่น เหมืองแร่ในฝั่งพม่า หรือการปล่อยน้ำจากเขื่อนเหนือแม่น้ำโขง

แม้จะมีกรอบความร่วมมืออย่าง

  • คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC)

  • ความร่วมมือล้านช้าง–แม่โขง (LMC)

  • ยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี–เจ้าพระยา–แม่โขง (ACMECS)

แต่การผลักดันให้เกิด “กลไกตัดสินใจร่วม” ยังล่าช้า และขาดอำนาจบังคับใช้

ความเปราะบางต่อการเกิดอุทกภัยของ “แม่สาย” ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่คือ “สัญญาณเตือน” ของการเปลี่ยนแปลงทางสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคมที่ซับซ้อนขึ้นทุกปี

แม้การย้ายเมืองจะเป็นหนึ่งในข้อเสนอเพื่อลดความเสี่ยงของคนในพื้นที่ แต่สิ่งที่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืนมากกว่า คือ การออกแบบระบบให้พร้อมรับมือกับธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลงมากขึ้น

  • วางผังเมืองแบบยืดหยุ่น

  • ลงทุนในระบบเตือนภัย–อพยพที่ทำงานจริง

  • สร้างกลไกภูมิภาคที่มีพลังต่อรอง

  • เปิดพื้นที่ให้ประชาชนเป็น “ผู้มีส่วนร่วม” ไม่ใช่ “เหยื่อของสถานการณ์”

บทเรียนจากแม่สาย อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการจัดการภัยพิบัติของไทยในยุคที่ "น้ำ" ไม่ใช่เรื่องของธรรมชาติอย่างเดียวอีกต่อไป

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง