รีเซต

โครงการสตอร์มฟิวรี (Project STORMFURY) ตำนานผู้กล้าท้าทายพลังพายุเฮอริเคน

โครงการสตอร์มฟิวรี (Project STORMFURY) ตำนานผู้กล้าท้าทายพลังพายุเฮอริเคน
TNN ช่อง16
22 กรกฎาคม 2568 ( 17:16 )
26

พายุเฮอริเคน ภัยธรรมชาติที่รุนแรงและสร้างความเสียหายให้กับมนุษย์มากที่สุดรูปแบบหนึ่ง โดยเฉพาะในพื้นที่สหรัฐอเมริกา ย้อนไปเมื่อเกือบ 40 ปีก่อน รัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้รวมทีมนักวิทยาศาสตร์และนักอุตนิยมวิทยาขึ้นมาเพื่อศึกษาวิธีการลดความรุนแรงของพายุเฮอริเคน ภายใต้ชื่อโครงการสตอร์มฟิวรี (Project STORMFURY)

จุดเริ่มต้นของแนวคิดการเอาชนะพายุเฮอริเคน

แนวคิดในการปรับเปลี่ยนสภาพอากาศ เริ่มต้นขึ้นจากการทดลองของนักวิทยาศาสตร์วินเซนต์ เชเฟอร์ (Vincent Schaefer) และเออร์วิง แลงมัวร์ (Irving Langmuir) เชเฟอร์พบว่าเมื่อเขาทิ้งน้ำแข็งแห้งบดลงในเมฆ จะเกิดหิมะตกตามมา ด้วยความพยายามของแลงมัวร์และการวิจัยของเชเฟอร์ที่ General Electric (GE) แนวคิดการใช้การหว่านสารในเมฆเพื่อลดความรุนแรงของพายุเฮอริเคนจึงได้รับแรงผลักดันขึ้นมา

นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าการหว่านสาร ซิลเวอร์ไอโอไดด์ (Silver Iodide) ในบริเวณรอบๆ ผนังตาพายุ (Eyewall) หรือตรงบริเวณ "เข็มขัดลมสูงสุด" (The belt of maximum winds) ซึ่งอยู่ถัดจากผนังตาพายุ จะทำให้เกิดการปล่อยความร้อนแฝง (latent heat) ออกมา

และการสร้างผนังตาพายุใหม่ หรือการปล่อยความร้อนแฝงนี้จะส่งเสริมให้เกิดการก่อตัวของผนังตาพายุใหม่ โดยผนังตาพายุที่ก่อตัวขึ้นใหม่นี้จะมีขนาดใหญ่กว่าผนังตาพายุเดิม และเมื่อผนังตาพายุใหม่มีขนาดใหญ่ขึ้น ลมของพายุหมุนเขตร้อนจะอ่อนลง เนื่องจากความแตกต่างของความดันลดลง

ความพยายามครั้งแรกในการทดสอบแนวคิดนี้เกิดขึ้นภายใต้ชื่อโครงการเซอร์รัส (Project Cirrus) โดยเป็นความร่วมมือระหว่างบริษัท GE และกองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศสหรัฐอเมริกา

การทดลองครั้งแรกเกิดขึ้นในวันที่ 13 ตุลาคม 1947 ในพายุเฮอริเคนเคปเซเบิล (Hurricane Cape Sable) โดยเครื่องบิน B-17 ได้บินไปตามแถบฝนของพายุและทิ้งน้ำแข็งแห้งบดเกือบ 180 ปอนด์ หรือ 82 กิโลกรัม ลงในเมฆ

แม้ลูกเรือรายงานว่ามีการ "เปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนของชั้นเมฆที่หว่านสาร" แต่ความสำเร็จของโครงการถูกตั้งคำถามเกี่ยวกับความสำเร็จที่แท้จริงในการเปลี่ยนทิศทางของพายุเกิดขึ้นเพราะทีมงานหรือเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ จนนำไปสู่การฟ้องร้องและยุติโครงการไปในที่สุด

โครงการสตอร์มฟิวรี (Project STORMFURY)


ต่อมาโครงการสตอร์มฟิวรีได้ถูกริเริ่มขึ้น โดยเป็นการร่วมทุนระหว่างกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐอเมริกาและกองทัพเรือสหรัฐฯ ผู้กำกับโครงการคนแรกคือ โรเบิร์ต ซิมป์สัน (Robert Simpson) จนถึงปี 1965 จากนั้น โจแอนน์ ซิมป์สัน (Joanne Simpson) ก็มารับช่วงต่อตั้งแต่ปี 1965 และต่อมารับช่วงโดย ดร. อาร์. เซซิล เจนทรี (Dr. R. Cecil Gentry) ในปี 1968


NOAA - U.S. National Oceanic and Atmospheric Administration

ครั้งนี้ทีมงานได้พัฒนาวิธีการใช้สารซิลเวอร์ไอโอไดด์ที่เชื่อว่ามีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมไปถึงการศึกษารูปแบบของพายุโดยละเอียด เช่น พายุต้องมีโอกาสน้อยกว่า 10 เปอร์เซ็นต์ที่จะเข้าใกล้พื้นที่ที่มีผู้คนอาศัยอยู่ภายในหนึ่งวัน, พายุต้องอยู่ในระยะที่เครื่องบินหว่านสารไปถึงได้ม พายุต้องเป็นพายุที่รุนแรงพอสมควรและมีตาพายุที่ก่อตัวชัดเจน โดยเกณฑ์เหล่านี้ทำให้เป้าหมายที่เหมาะสมสำหรับการหว่านสารหายากอย่างยิ่งขึ้น เพื่อแลกกับโอกาสความสำเร็จ

ภารกิจครั้งสำคัญ เช่น พายุเฮอริเคนบิวลาห์ (Hurricane Beulah) ในปี 1963 แม้จะมีการทำผิดพลาดในการหว่านสารในตอนแรก แต่ในวันถัดมา ทีมงานก็ทำได้สำเร็จ มีการสังเกตว่ากำแพงตาพายุสลายไปและถูกแทนที่ด้วยกำแพงตาพายุใหม่ที่มีรัศมีกว้างขึ้น ความเร็วลมคงที่ก็ลดลง 20 เปอร์เซ็นต์ ผลลัพธ์โดยรวมถือว่า "น่าพอใจแต่ยังไม่สรุปผลได้"

พายุเฮอริเคนเบ็ตซีย์ (Hurricane Betsy) ในปี 1965 พายุลูกนี้ถูกพิจารณาว่าเป็นพายุที่เหมาะสม แต่มันได้เปลี่ยนทิศทางเข้าหาฝั่ง ทำให้ต้องยกเลิกเที่ยวบินตามแผนการที่วางไว้ อย่างไรก็ตาม สื่อในยุคนั้นหลายสำนักรายงานว่าทีมงานได้หว่านสารซิลเวอร์ไอโอไดด์ (Silver Iodide) ไปแล้วทำให้สาธารณชนและสภาคองเกรสกล่าวโทษโครงการสตอร์มฟิวรี เมื่อพายุเบ็ตซีย์เข้าถล่มรัฐฟลอริดา เจ้าหน้าที่ต้องใช้เวลาถึง 2 เดือน ในการชี้แจงข้อกล่าวหาดังกล่าว

พายุเฮอริเคนเด็บบี้ (Hurricane Debbie) ในปี 1969 ทีมงานเชื่อว่านี่โอกาสที่ดีที่สุดในการทดสอบสมมติฐานของโครงการ พายุนี้ไม่เป็นภัยคุกคามต่อแผ่นดิน อยู่ในระยะที่เครื่องบินปฏิบัติการได้  และมีความรุนแรงพร้อมตาพายุที่ชัดเจน โดยในวันที่ 18 และ 20 สิงหาคม มีเครื่องบิน 13 ลำเข้าปฏิบัติการ ความเร็วลมลดลง 31% ในวันแรก และ 18% ในวันที่สอง การเปลี่ยนแปลงทั้งสองครั้งสอดคล้องกับสมมติฐานการทำงานของสตอร์มฟิวรี ผลลัพธ์นี้น่าพอใจมากจนมีการวางแผน "โครงการวิจัยที่ขยายใหญ่ขึ้นอย่างมาก"

The eye of Hurricane Debbie on August 20

พายุเฮอริเคนจิงเจอร์ (Hurricane Ginger) ในปี 1971 เป็นภารกิจการหว่านสารครั้งสุดท้ายของโครงการสตอร์มฟิวรี แม้ว่าพายุจิงเจอร์ไม่เหมาะสำหรับการหว่านสารเนื่องจากมีลักษณะที่กระจัดกระจายไม่ชัดเจน การหว่านสารจึงไม่มีผลกระทบใด ๆ ทำให้ภารกิจสุดท้ายนี้เหมือนการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ

NOAA - U.S. National Oceanic and Atmospheric Administration

กองทัพเรือสหรัฐถอนตัวออกจากโครงการ

ในช่วงต้นทศวรรษ 1970 เกิดความเปลี่ยนแปลงสำคัญ เมื่อกองทัพเรือได้ถอนตัวจากโครงการ สตอร์มฟิวรีเริ่มเปลี่ยนเป้าหมายจากการปรับเปลี่ยนพายุเป็นการทำความเข้าใจพายุหมุนเขตร้อนแทน 

เนื่องจากพายุเฮอริเคนในแอตแลนติกที่ตรงตามเกณฑ์ความปลอดภัยมีน้อยมาก จึงมีการวางแผนที่จะย้ายโครงการสตอร์มฟิวรีไปยังมหาสมุทรแปซิฟิกเพื่อทดลองกับพายุไต้ฝุ่นจำนวนมากที่นั่น 

อย่างไรก็ตาม แผนการนี้ถูกขัดขวางด้วยปัญหาทางการเมืองระหว่างประเทศ โดยสาธารณรัฐประชาชนจีนไม่พอใจหากพายุไต้ฝุ่นที่หว่านสารเปลี่ยนเส้นทางและขึ้นฝั่งของตน ขณะที่ญี่ปุ่นประกาศว่ายอมรับความยากลำบากที่เกิดจากพายุไต้ฝุ่นได้อยู่แล้ว

โครงการสตอร์มฟิวรี (Project STORMFURY) ยุติลงในปี 1983 หลังจากการวิจัยพบว่าสมมติฐานหลักของโครงการนั้นไม่ถูกต้อง และการเปลี่ยนแปลงที่สังเกตเห็นในพายุอาจเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ไม่ใช่ผลจากการแทรกแซงของมนุษย์

โครงการสตอร์มฟิวรีไม่เสียเปล่า

แม้โครงการจะล้มเหลวในการบรรลุเป้าหมายหลัก แต่ก็มีบทบาทสำคัญในการเพิ่มพูนความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโครงสร้างและพฤติกรรมของพายุหมุนเขตร้อน และช่วยปรับปรุงความสามารถในการพยากรณ์พายุ

ข้อมูลจากการวัดความเร็วของพายุในโครงการสตอร์มฟิวรี (Project STORMFURY) ด้วยเครื่องบินช่วยปรับปรุงแบบจำลองในขณะนั้น ทำให้ความสามารถในการพยากรณ์การเคลื่อนที่และความรุนแรงของพายุเฮอริเคนดีขึ้นอย่างมาก 

นอกจากนี้เครื่องบินรุ่น Lockheed P-3 ในโครงการสตอร์มฟิวรี (Project STORMFURY) ยังถูกใช้งานในหน่วยงาน NOAA ตรวจสอบสภาพอากาศของสหรัฐอเมริกาจนถึงปี 2005 ก่อนปลดประจำการไปในที่สุด

โครงการสตอร์มฟิวรี (Project STORMFURY) นับเป็นบทเรียนอันล้ำค่าที่สอนให้มนุษย์เข้าใจความซับซ้อนและพลังมหาศาลของธรรมชาติ อันเป็นพื้นฐานให้เรารู้จักพายุเฮอริเคนได้ดียิ่งขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เพื่อให้สามารถเตรียมรับมือและปกป้องชีวิตผู้คนจากภัยพิบัติทางธรรมชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นในปัจจุบัน

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง