บอร์ด TOA ไฟเขียวซื้อหุ้นคืนวงเงินไม่เกิน 1.5 พันลบ., โชว์กำไร Q3/66 โต 85.6%

#TOA #ทันหุ้น-บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด(มหาชน) หรือ TOA แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯว่า คณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารการเงิน ในวงเงินสูงสุดที่จะใช้ในการซื้อหุ้นคืนไม่เกิน 1,500 ล้านบาท หรือจำนวนหุ้นที่จะซื้อคืนไม่เกิน 60 ล้านหุ้นหรือไม่เกิน 2.96% โดยจะเป็นการซื้อในตลาดหลักทรัพย์กำหนดระยะเวลาที่จะซื้อหุ้นคืนตั้งแต่วันที่ 20 พ.ย. 2566 ถึงวันที่ 17 พ.ค. 2567 

การซื้อหุ้นคืนดังกล่าว เพื่อเป็นการบริหารสภาพคล่องส่วนเกินของบริษัทให้เกิดประโยชน์สูงสุด, เพื่อเพิ่มอัตราผลตอบแทนให้แก่ส่วนของผู้ถือหุ้น(ROE) รวมถึงเพิ่มอัตรากำไรสุทธิต่อหุ้น(EPS) , เพื่อแสดงว่าบริษัทมีความเชื่อมั่นในศักยภาพการสร้างรายได้ในอนาคต และเพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ลงทุนหรือผู้ถือหุ้นของบริษัทในศักยภาพการสร้างรายได้ และกำไรในอนาคตของบริษัท รวมถึงแสดงถึงฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัท 

**กำไร Q3/66 โต 85.6%

นอกจากนี้ TOA ยังได้แจ้งงบการเงินงวดไตรมาส 3/66 มีกำไร 651.16 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 85.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ที่มีกำไร 350.76 ล้านบาท โดยมีสาเหตุหลักจากกำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ในงวดไตรมาส 3 ปี 2565 และ 2566 เมื่อรวมรายการปรับมูลค่ายุติธรรมสินทรัพย์ทางการเงินและผลต่างอัตราแลกเปลี่ยนเป็นกำไรจำนวน 1.1 ล้านบาท และ 57.4 ล้านบาท ตามลำดับ 

บริษัทมีกำไรขั้นต้นในไตรมาส 3/66 ที่ 1,819.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 1,401.0 ล้านบาทในงวดเดียวกันปีก่อน คิดเป็นอัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาส 3/66 ที่ 33.8% จากงวดเดียวกันปีก่อนที่ 27.8% ซึ่งเพิ่มขึ้น โดยหลักมาจากการปรับราคาขายสินค้าในปีก่อน ประกอบกับการบริหารจัดการด้านวัตถุดิบและต้นทุนการผลิต และราคาเฉลี่ยของบรรจุภัณฑ์ที่ปรับตัวลดลง 

ส่วนรายได้จากการขายในไตรมาส 3/66 อยู่ที่ 5,379.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 5,037.9 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 6.8% สาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์สีทาอาคาร และผลิตภัณฑ์สีและสารเคลือบผิวประเภทอื่น เนื่องจากปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นจากความต้องการใช้สีและวัสดุก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นจากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว และความต้องการในการปรับปรุงซ่อมแซมที่พักอาศัยในเขตเมืองที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น โดยยอดขายที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากยอดขายในประเทศในช่องทางผู้ค้าปลีก