"ปฏิญญากัวลาลัมเปอร์" ทำไมส่อล่มตั้งแต่วันลงนาม เปิดปัจจัยต้องรบไทย-กัมพูชา

คุณจำภาพนี้ได้ไหม มันคือภาพที่ประธานาธิบดีทรัมป์ของสหรัฐฯ ประกาศว่า เป็นอีกหลักฐานว่าเขา ได้ยุติสงครามสำเร็จ เพียงใช้เรื่องนโยบายภาษีเป็นตัวต่อรอง

แต่มันเป็นปฎิญญา ที่มีอายุเพียง 15 วัน นายกรัฐมนตรีไทยก็ประกาศระงับ จากกรณีทหารไทยยังเหยียบทุ่นระเบิด

และมีอายุถึงวันที่ 42 คือ วันที่ 7 ธันวาคม ปฎิญญาที่ทรัมป์ภูมิใจ ก็กลายเป็นสิ่งที่อนุทิน จำไม่ได้แล้ว เพราะถึงจุดต้องตอบโต้กัมพูชาอย่างเต็มรูปแบบ

ปฎิญญาแสนเปราะบาง

เกรก โพลิง ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษายุทธศาสตร์สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ หรือ CSIS ให้สัมภาษณ์รอยเตอร์ว่า ปฎิญญากัวลาลัมเปอร์ หรือแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทยและกัมพูชา มันเป็นเพียงแค่ข้อตกลงหยุดยิง ไม่ใช่สนธิสัญญาสันติภาพ 

ฉะนั้น สิ่งที่ทรัมป์ผลักดัน ไม่ได้แก้ปัญหาที่ต้นตอเลย จึงไม่แปลกที่มันจะเป็นแถลงการณ์ร่วมที่ง่อนแง่น เปราะบาง และแตกกระจาย หากเกิดเหตุการณ์ปะทะอะไรขึ้นมาอีก

ปัจจัยแห่งชาตินิยม 

ผอ.CSIS ยังชี้ถึงปัจจัยทางการเมืองว่า สองชาติตอนนี้มีกระแสชาตินิยม และปัจจัยทางการเมืองเป็นลมใต้ปีก ให้ต้องแข็งกร้าวต่ออีกฝ่าย และไม่ถูกมองว่าอเมริกาจูงใจได้

"สำหรับประเทศไทยนั้น นายกฯ คนปัจจุบันเสมือนนายกฯ รักษาการณ์ เพราะประกาศยุบสภาปลายเดือน ม.ค. ปัจจัยหนุนทางการเมืองทำให้ เขาต้องดูไม่อ่อนแอ ไม่ถูกอเมริกาข่มขู่ได้ง่าย ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ความตึงเครียด ทวีความรุนแรง จนยากจะแก้ไข" โพลิง กล่าว

ตราบาปฝรั่งเศสจากอดีต

ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษายุทธศาสตร์สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ ให้สัมภาษณ์ต่อถึงรากเหง้าของปัญหาระหว่างไทยและกัมพูชา นั่นก็คือข้อพิพาทชายแดน

เขาระบุว่า ส่วนหนึ่งต้นตอมาจากแผนที่ของฝรั่งเศสที่กำหนดเขตแดนระหว่างไทยและกัมพูชา 

ไทยไม่เห็นพ้องกับแผนที่ของฝรั่งเศสมาโดยตลอด และยึดมั่นในแผนที่ที่มีรายละเอียดมากกว่า คือ แผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 50,000

ส่วนกัมพูชา ยึดแผนที่ของฝรั่งเศสที่รายละเอียดน้อยกว่า มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 เพราะตีความให้ประโยชน์กับตนเองได้ง่ายกว่า   

ไทยได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัด

ท้ายสุด เกรก โพลิง ยอมรับว่า หากเกิดการสู้รบเต็มรูปแบบจริง ๆ ฝ่ายกัมพูชาต่อกรกับไทยไม่ได้เลย โดยเฉพาะในเชิงยุทโธปกรณ์ขั้นสูง 

การใช้การโจมตีทางอากาศด้วยเครื่องบินรบ F-16 ของไทย คือหลักฐานชั้นดีถึงความเหนือชั้นของไทย ส่วนที่กัมพูชามี คือ ยุทโธปกรณ์ที่ซื้อมาจากจีน ซึ่งจำนวนมากก็แทบไม่เคยใช้ ขาดการบำรุง และอาจใช้การไม่ได้

ท้ายสุดที่ต้องจับตากันต่อ เพราะเมื่อปฎิญญากัวลาลัมเปอร์สะดุด คนที่เสียภาพลักษณ์ที่สุด หนีไม่พ้นประธานาธิบดีทรัมป์  

ผอ.CSIS มองว่า ต้องดูท่าทีต่อจากนี้ของทรัมป์ว่า จะโทรศัพท์ หรือออกแถลงการณ์อะไร เพื่อกู้ปฏิญญานี้ให้กลับมาหรือไม่ แม้อนุทิน จะประกาศชัดแล้วว่า จะไม่แจ้งและจะไม่พูดคุยเรื่องนี้อีกแล้ว