สนพ.ต่อยอด อุตฯปิโตรเคมี ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
ในเวทีสัมมนารับฟังความคิดเห็น “โครงการศึกษากรอบแผนการพัฒนาอุตสาหกรรมปิโตรเคมีระยะที่ 4 ในพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออกและพื้นที่ที่มีศักยภาพเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจในอนาคต” นายวัฒนพงษ์ คุโรวาท ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กล่าวว่า ปิโตรเคมีมีความสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมต้นน้ำที่ก่อให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมต่อเนื่องอีกมากมาย ที่ผ่านมา ไทยมีการพัฒนาอุตสาหกรรมปิโตรเคมีมานานกว่า 40 ปี และเป็นอุตสาหกรรมแรกของประเทศที่มีแผนแม่บทการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่ปี 2523 อยู่ในการพัฒนาระยะที่ 4 ในช่วงปี 2561-2580
นอกจากนี้ ประเทศไทยได้กำหนดการพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมาย (New S-Curve) ในอนาคต เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยภายใต้แนวคิด Thailand 4.0 ผ่านโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี ซึ่งต้องอาศัยการพัฒนาอุตสาหกรรมปิโตรเคมีเป็นพื้นฐานสำคัญในการสร้างฐานการผลิตวัตถุดิบให้กับอุตสาหกรรมใหม่ อีกทั้ง ไทยยังมีความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์เคมีและพลาสติกที่มีคุณสมบัติพิเศษมากขึ้น และมีมูลค่าสูงขึ้น ซึ่งที่ผ่านมา ไทยต้องนำเข้าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวในรูปแบบเคมีภัณฑ์ เม็ดพลาสติกหรือผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป ดังนั้น การพัฒนาอุตสาหกรรมปิโตรเคมีในระยะต่อไป จำเป็นที่จะต้องต่อยอดพัฒนาอุตสาหกรรมปิโตรเคมีเพิ่มเติมจากฐานที่มีในปัจจุบันเพื่อรองรับการพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมายในอนาคต
ทั้งนี้ สนพ. มอบหมายให้สถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (PTIT) เป็นที่ปรึกษาดำเนินโครงการศึกษากรอบแผนการพัฒนาอุตสาหกรรมปิโตรเคมีระยะที่ 4 ในพื้นที่ อีอีซี และพื้นที่อื่นที่มีศักยภาพเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจในอนาคต หรือการจัดทำแผนพัฒนาปิโตรเคมีระยะที่ 4 เพื่อการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน และสร้างฐานทางเศรษฐกิจใหม่ให้ประเทศ ซึ่งเป็นหนึ่งในกิจกรรมการปฏิรูปประเทศด้านพลังงานที่จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อประชาชนอย่างมีนัยสำคัญ
การจัดสัมมนาเผยแพร่ผลการศึกษาและรับฟังความคิดเห็นในครั้งนี้ จึงเป็นอีกก้าวหนึ่งของโครงการศึกษากรอบแผนการพัฒนาอุตสาหกรรมปิโตรเคมีระยะที่ 4 เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจในอนาคตที่จะขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ โดยใช้อุตสาหกรรมปิโตรเคมีเป็นแกนหลัก กระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตและสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายลง