รีเซต

"Oumuamua" สิ่งประดิษฐ์ของมนุษย์ต่างดาว !?

"Oumuamua" สิ่งประดิษฐ์ของมนุษย์ต่างดาว !?
TNN ช่อง16
7 มีนาคม 2565 ( 17:04 )
240
"Oumuamua" สิ่งประดิษฐ์ของมนุษย์ต่างดาว !?

ในเดือนตุลาคมปี 2017 นักวิทยาศาสตร์ได้ใช้กล้องโทรทรรศน์ Pan-STARRS1 บนเกาะ Maui ในฮาวาย ตรวจพบเจอวัตถุปริศนาในระบบสุริยะ และตั้งชื่อมันว่า "Oumuamua" หรือ "ลูกเสือ" ในภาษาฮาวาย


"Oumuamua" คืออะไร ?

  • ช่วงแรก นักดาราศาสตร์คิดว่ามันคือดาวหาง แต่ก็ไม่พบร่องรอยอะไรที่บ่งบอกได้ว่ามันคือดาวหางจริง ๆ เมื่อมันโคจรรอบดวงอาทิตย์ด้วยความเร็ว 196,000 ไมล์ต่อชั่วโมง

  • นักดาราศาสตร์จึงคิดว่ามันเป็นดาวเคราะห์น้อย จนกระทั่งตรวจเพิ่มเติม แล้วพบบางสิ่งที่บอกได้ว่า Oumuamua นั้นไม่ใช่ดาวเคราะห์แน่ ๆ 

  • เมื่อพบว่า Oumuamua สามารถเร่งความเร็วตัวเองได้ ซึ่งวัตถุที่เป็นหินในอวกาศตามปกติไม่สามารถที่จะเร่งความเร็วได้อิสระแบบนี้ จนเดากันว่ามันอาจจะเป็นสิ่งประดิษฐ์ของมนุษย์ต่างดาว อาทิพวกยานสำรวจหรือยานอวกาศ ก็เป็นได้

  • Avi Loeb ศาสตราจารย์ด้านฟิสิกส์ดาราศาสตร์ชื่อดังของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ได้ระบุว่า Oumuamua นั้นไม่ใช่สิ่งประดิษฐ์ของมนุษย์ต่างดาว โดยเขาระบุว่า "the excess push away from the sun — that was the thing that broke the camel's back" หรือถ้าแปลให้เข้าใจง่าย ๆ คือวัตถุดังกล่าวมันผลักออกจากแสงพระอาทิตย์มากเกินไป

  • ในปี 2021 นักวิจัยระบุว่า Oumuamua นั้นคือน่าจะเป็นก้อนไนโตรเจนแช่แข็ง ซึ่งถูกกระแทกจากพื้นผิวของดาวเคราะห์ และระเหยจนกลายเป็นรูปร่างแบน ๆ เหมือนกับก้อนสบู่ ข้้อสรุปนี้มาจากทฤษฎี rocket effect หรือรูปแบบของน้ำแข็งที่เรียกว่าไนโตรเจนแข็งซึ่งอยู่บนดาวพลูโต 

  • ณ ตอนนี้ Oumuamua ได้บินออกจากระบบสุริยะของเราไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่มนุษย์เรายังสามารถตรวจดูมันได้ผ่านกล้องโทรทรรศน์อวกาศ James Webb Space Telescope รวมไปถึงวัตถุใหม่ ๆ ที่อาจจะปรากฎตัวเข้ามาในระบบสุริยะของเราได้ในอนาคตอันใกล้นี้

  • กล้องโทรทรรศน์อวกาศ James Webb Space Telescope จะช่วยให้เหล่านักดาราศาสตร์สามารถศึกษาวัตถุเหล่านี้ได้มากขึ้น มันมาจากไหน ก่อตัวขึ้นมาได้อย่างไร และพวกมันมีองค์ประกอบอะไรอยู่กับตัวบ้าง ที่สำคัญคือทำทุกสิ่งเหล่านี้ได้เร็วมากขึ่้นเป็นอย่างมาก

  • ด้วยความโดดเด่นด้านสเปกโตรสโกปีของกล้องโทรทรรศน์อวกาศ James Webb Space Telescope ทำให้เราสามารถวิเคราะห์แถบอินฟราเรดช่วงกลางและอินฟราเรดช่วงใกล้ เพื่อตรวจสอบผู้บุกรุกระหว่างดวงดาวที่มาเยือนระบบสุริยะของเราได้ นอกจากนี้ยังมีกระจกที่เคลือบด้วยทองคำบริสุทธิ์บาง ๆ มีความหนาน้อยกว่า 100 อะตอม สามารถสะท้อนแสงอินฟราเรดได้ดีที่สุด

  • แถบอินฟราเรดช่วงกลาง หรือ mid-infrared instrument (MIRI) จะช่วยให้นักวิทยาศาสตร์มองเห็นฝุ่นออกมาจากวัตถุ ซึ่งเป็นอนุภาคขนาดเล็กมากด้วยกล้องจุลทรรศน์ สามารถมองเมล็ดพืชเห็นได้อย่างชัดเจน และแม้แต่ก้อนกรวดทั้งหมดที่สามารถหลุดจากวัตถุได้ ก็สามารถเห็นได้ทั้งหมด

  • แถบอินฟราเรดช่วงใกล้ หรือ near-infrared Spectrograph (NIRSpec) ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์ตรวจสอบลายนิ้วมือทางเคมีของก๊าซ ที่วัตถุในจักรวาลปล่อยออกมาได้ ซึ่งนี่คือวิธีที่ดีที่สุดในปัจจุบัน สำหรับใช้ศึกษาพวกมัน เนื่องจากน้ำแข็งใด ๆ ที่อยู่บนผิว จะถูกทำให้เป็นไอโดยความร้อนจากดวงอาทิตย์


ขอบคุณภาพจาก : sciencenews.org

 

แหล่งที่มา interestingengineering.com

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง