แพทย์ผิวหนังเตือน! แผลที่คล้ายแมลงกัด อาจเป็นการติดเชื้อวัณโรคที่ผิวหนังได้
นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า จากกรณีที่บนโลกออนไลน์มีการแชร์เตือนโรคแผลกินเนื้อ หรือโรคแบคทีเรียกินเนื้อคน แพร่ระบาดอย่างหนักในพื้นที่ชายทะเลของรัฐวิกตอเรีย ประเทศออสเตรเลีย โดยผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า โรคดังกล่าวน่าจะแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่องเข้าสู่เมืองเมลเบิร์นเร็วๆ นี้นั้น ขอเรียนว่า โรค Buruli หรือ Bairnsdale ulcer ที่มีข่าวพบในพื้นที่ชายทะเลของรัฐวิกตอเรีย ประเทศออสเตรเลีย เป็นการติดเชื้อวัณโรคที่ผิวหนังที่ทำให้เกิดเป็นแผล การติดเชื้อพบในหนองน้ำ แอ่งน้ำ หรือ ผู้ป่วยสัมผัสกับน้ำในแอ่งน้ำที่มีเชื้ออยู่ เชื้อที่เป็นสาเหตุ คือ เชื้อวัณโรคที่มีชื่อว่า Mycobacterium ulcerans ทำให้เกิดโรคที่เรียกว่า Buruli ulcer disease ส่วนมากมักพบบ่อยในเด็ก และวัยหนุ่มสาว พบมากในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย โดยพบเป็นก้อนที่ใต้ผิวหนัง ทำให้เข้าใจว่าเป็นตุ่มที่เกิดจากแมลงกัดได้
แพทย์หญิงมิ่งขวัญ วิชัยดิษฐ ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ตุ่มบนผิวหนังค่อยๆ ขยายออกและอาจแตกออกเป็นแผล ขนาดของแผลอาจเซาะลึกลงไปถึงชั้นไขมันใต้ผิวหนัง มีเนื้อตายได้ ผู้ป่วยมักไม่มีอาการเจ็บที่แผล รู้สึกสบายดี เนื่องจากเส้นประสาทที่บริเวณบาดแผลถูกทำลายโดยพิษจากเชื้อที่เรียกว่า Mycolactone บาดแผลอาจเกิดที่ส่วนใดของร่างกายก็ได้ แต่มักพบในส่วนของแขน ขามากกว่า ในผู้ใหญ่ แผลอาจมีขนาดใหญ่ และอาจขยายลามเป็นทั้งขาได้ แผลอาจเป็นอยู่ได้นานเป็นหลายเดือนหรือหลายปีได้ โดยอาจมีการหาย หรือเป็นใหม่ได้ในคนๆ เดียวกัน อาจหายโดยมีแผลเป็นหรือ อาจส่งผลให้มีอาการขาบวมจากการที่มีแผลเป็น และการไหลเวียนของระบบน้ำเหลืองที่ไม่ดี จะไม่พบอาการข้างเคียงของต่อมน้ำเหลืองโต หรืออาการข้างเคียงทางร่างกายอื่นๆ ที่พบร่วมกัน จนกว่าจะมีการติดเชื้อแบคทีเรียเพิ่มเติมเข้าไปในผู้ป่วย การวินิจฉัยแยกโรค ในระยะแรกที่เป็นก้อนใต้ผิวหนังต้องแยกกับกลุ่มที่มีสิ่งแปลกปลอมทิ่มแทงเข้าไปในผิวหนัง (Foreign body granuloma) แมลงกัด (Insect bite reaction) การติดเชื้อราที่ผิวหนังชั้นลึก ซีสต์ใต้ผิวหนัง (Infected sebaceous cyst) ไขมันใต้ผิวหนังอักเสบ (Panniculitis) ในระยะที่เป็นแผลต้องแยกโรคกับโรคผิวหนังติดเชื้อแบคทีเรีย หรือ โรคเนื้อเน่า (necrotizing faciitis)
ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง ให้คำแนะนำเพิ่มเติมว่า ผู้ป่วยที่มีอาการควรพบแพทย์เพื่อให้ได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้อง และควรได้รับการเพาะเชื้อจากบาดแผล เพื่อให้ทราบถึงเชื้อที่เป็นสาเหตุ และเพื่อเป็นแนวทางในการเลือกใช้ยาปฏิชีวนะที่ใช้ในการรักษาควบคู่ไปกับการได้รับการดูแลแผลที่ถูกวิธี