STAยอดขายปีนี้แตะล้านตัน ดีมานด์พุ่ง-ราคายางขาขึ้น
#STA #ทันหุ้น – STAปลื้มปริมาณน้ำยางพาราปี 2568 เพียงพอ จับตาความต้องการใช้ยางมาตรการ EUDR ทั้งยังมีมาตรการกีดกันทางภาษีระหว่างสหรัฐอเมริกา-จีน หนุนกลุ่มธุรกิจถุงมือยาง มั่นใจปริมาณขายทั้งปี 2568 ทะลุ 1 ล้านตันเติบโตจากปี 2567 ทั้งยังได้อานิสงส์ราคายางในตลาดโลกทรงตัวขาขึ้น
ฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) หรือ STA เปิดเผยว่า บริษัทคาดการณ์ราคายางพาราในตลาดโลกเฉลี่ยทั้งปี 2568 มีแนวโน้มเร่งตัวขึ้น สะท้อนจากตั้งแต่ต้นปี 2568 – ปัจจุบัน (YTD) ราคายางแท่งตลาด SICOM เคลื่อนไหวเฉลี่ยที่ราว 185-190 เซ็นต์ต่อกิโลกรัม ซึ่งสูงกว่าราคาเฉลี่ยทั้งปี 2567 ซึ่งอยู่ที่ 174 เซ็นต์ต่อกิโลกรัม
“ราคายางพาราในตลาดโลกเริ่มเร่งตัวขึ้นตั้งแต่ราวปลายปี 2566 และแกว่งตัวขาขึ้นต่อเนื่องตลอด 2 ปีที่ผ่านมา โดยราคายางพาราเฉลี่ยทั้งปี 2567 สูงกว่าราคาเฉลี่ยทั้งปี 2566 ถึง 30% YoY และตั้งแต่ต้นปี 2568 ถึงปัจจุบันก็ยังแกว่งตัว ขาขึ้นได้อยู่ จึงคาดว่าราคาเฉลี่ยทั้งปี 2568 น่าจะสูงกว่าทั้งปี 2567 ได้”
*ปริมาณขายโตต่อเนื่อง
ซึ่งปัจจัยดังกล่าวถือเป็นปัจจัยหนุนภาพรวมผลการดำเนินงานทั้งปี 2568 ของกลุ่ม STA เบื้องต้นตั้งเป้าปริมาณขายยางทั้งปี 2568 เติบโตจากปี 2567 ซึ่งปริมาณขายงวด 9 เดือนแรกของปี 2567 ก็อยู่ที่ราว 1 ล้านตันแล้ว ประกอบกับกำลังการผลิต (Supply Overall) ทั้งปี 2568 ก็มีทิศทางที่ดีต่อเนื่องจากปี 2567 ที่ผ่านมา โดยปัจจุบันเป็นช่วงเปิดกรีดยาง ทั้งนี้ ปริมาณน้ำยางในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน (อีสานเหนือ) มีปริมาณที่ดี ในขณะที่ภาคใต้ เกษตรกรยังต้องวางแผนการกรีดยางด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากปลายปี 2567 มีสถานการณ์อุทกภัยในหลายพื้นที่ จึงต้องระวังเรื่องโรคเชื้อรา
ขณะเดียวกัน ประเทศผู้นำทางการค้า อาทิ สหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกาได้เริ่มใช้มาตรการภาษี (Tariff) อาทิ การควบคุมให้อุณหภูมิโลก, การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ฯลฯ เข้ามาบังคับใช้มากขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนทางธุรกิจให้กับบริษัทเนื่องจากบริษัทได้ลงทุนเครื่องจักร ให้ความรู้-แนะนำเกษตรกรในโครงข่ายให้ตระหนัก/เข้าใจถึงการปลูกยางพาราโดยหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมี ตลอดจนการบริหารจัดการภายในสวนยางอย่างถูกต้องมาอย่างต่อเนื่อง บริษัทมีความพร้อมในการผลิตยางทั้งน้ำยางสด และยางแท่งที่ปลอดการตัดไม้ทำลายป่า และมีอัตราการปลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ในปริมาณต่ำ
*ความต้องการใช้สูง
โดยบริษัทยังคงติดตามความต้องการใช้ (Demand) ยางพาราหลังจากสหภาพยุโรปพิจารณาเลื่อนบังคับใช้กฎหมายสินค้าปลอดการตัดไม้ทำลายป่า (EU Deforestation Regulation EUDR) ออกไปโดยให้มีผลกับผู้ประกอบการขนาดใหญ่ ในวันที่ 30 ธันวาคม 2568 และมีผลกับผู้ประกอบวิสาหกิจขนาดย่อมหรือผู้ประกอบการรายย่อย ในวันที่ 30 มิถุนายน 2569 เบื้องต้นคาดว่าจะมีความชัดเจนขึ้นช่วงครึ่งหลังของปี 2568
“มาตรฐาน EUDR ถูกเลื่อนออกไป 1 ปี ช่วงนี้จึงเป็นช่วงเปลี่ยนผ่าน 6-9 เดือน ต้องรอดูความชัดเจน โดยคาดว่าจะเห็นภาพชัดขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง หรือไตรมาส 4/2568 ซึ่งมาตรฐาน EUDR จะเริ่มมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ (Effective) ในช่วงปลายปี 2568 เป็นต้นไป นอกจากนี้ เรื่องของมาตรการภาษีของสหรัฐอเมริกา (US Tariff) ซึ่งขึ้นภาษีถุงมือยางจีนก็จะเป็นประโยชน์ ต่อผู้ผลิตถุงมือยางไทยและมาเลเซีย ก็จะเป็นผลดีต่อกลุ่มบริษัทเช่นกัน”
*แนะซื้อเป้า 33.70 บาท
บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด คาดกำไรปกติงวดไตรมาส 4/2567 ของ STA มีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นทำระดับสูงสุดในรอบ 11 ไตรมาสที่ 1.03 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.6% QoQ, และพลิกจากขาดทุนปกติ 301 ล้านบาท ในงวดไตรมาส 4/2567 หนุนจากทั้งธุรกิจยางพารา และธุรกิจถุงมือยาง หากกำไรงวดไตรมาส 4/2567 เป็นไปตามประมาณการ กำไรปกติทั้งปี 2567 จะพลิกทำกำไรถึง 2,551 ล้านบาท จาดขาดทุน 441 ล้านบาทเมื่อปี 2566 พร้อมคาดการณ์เงินปันผลจ่ายปี 2567 ที่ 1.50 บาท คิดเป็น DW Yield 8%
ทั้งยังคาดการณ์กำไรปี 2568 จะเติบโตต่อ จากทั้งธุรกิจยางพารา และถุงมีอย่างด้วยแนวโน้มปริมาณขาย และราคาขายเฉลี่ยยางที่ดีกว่าที่ประเมินไว้ก่อนหน้า แต่ยังคงประมาณการณ์กำไรปกติปี 2568 ที่ อยู่ที่ 3,842 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 50.61% YoY อัตราการจ่ายเงินปันผลที่ 11.2% จึงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสมที่ 33.70 บาท