รู้จัก 'ช่องบก' บนแผนที่ภูมิรัฐศาสตร์ จุดเชื่อมไทย-ลาว-กัมพูชา

เหตุปะทะชายแดนระหว่างทหารไทยกับกัมพูชาเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 บริเวณช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี ได้ปลุกกระแสความตื่นตัวของสังคมต่อพื้นที่ชายแดนซึ่งยังไร้เส้นแบ่งเขตที่ชัดเจน แม้เหตุการณ์จะกินเวลาเพียงไม่กี่นาทีและยุติลงโดยเร็ว แต่กลับตอกย้ำความเปราะบางของความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศในพื้นที่ซึ่งมีประวัติความขัดแย้งฝังลึกมายาวนาน
“ช่องบก” ไม่ได้เป็นเพียงจุดปะทะทางทหาร แต่คือจุดตัดของประวัติศาสตร์ ภูมิรัฐศาสตร์ และความหวังแห่งอนาคต
------------
หากเอ่ยถึงจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คงไม่มีพื้นที่ใดทรงอิทธิพลไปกว่า "สามเหลี่ยมมรกต" พื้นที่เล็กเพียง 12 ตารางกิโลเมตรบริเวณรอยต่อไทย ลาว และกัมพูชา ที่ชาวบ้านเรียกขานว่า “ช่องบก” กลับกลายเป็นศูนย์กลางทางภูมิรัฐศาสตร์ซึ่งมีบทบาทต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในภูมิภาคมานานนับศตวรรษ
ประตูแห่งสามอาณาจักร
บริเวณที่เทือกเขาพนมดงรักทอดแนวเป็นพรมแดนธรรมชาติ กลายเป็นจุดบรรจบของสามประเทศ ได้แก่ อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี ของไทย แขวงจำปาศักดิ์ของลาว และจังหวัดพระวิหารของกัมพูชา โดยพื้นที่ฝั่งไทยตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติภูจองนายอย ใกล้บ้านโนนสูง ตำบลโดมประดิษฐ์
ลักษณะภูมิประเทศของพื้นที่เป็นเทือกเขาสลับซับซ้อน ทำหน้าที่เชื่อมโยงเส้นทางระหว่างสามประเทศ โดยแม้ช่องบกจะยังไม่เป็นจุดผ่านแดนถาวร แต่บริเวณใกล้เคียงกลับมีด่านสำคัญหลายแห่ง เช่น ช่องสะงำ (ไทย-กัมพูชา), ช่องเม็ก (ไทย-ลาว) และเวินคำ (ลาว-กัมพูชา) ซึ่งยิ่งตอกย้ำบทบาทของภูมิภาคนี้ในฐานะจุดยุทธศาสตร์ระดับภูมิภาค
มรดกแห่งความขัดแย้งและการเจรจา
ประวัติศาสตร์ของสามเหลี่ยมมรกตสะท้อนถึงการแย่งชิงอิทธิพลและทรัพยากรมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงปี พ.ศ. 2528–2530 เมื่อพื้นที่นี้กลายเป็นแนวปะทะระหว่างกองทัพไทยกับกองทัพเวียดนามที่สนับสนุนรัฐบาลกัมพูชาในขณะนั้น การรุกล้ำเข้าพรมแดนไทยนำไปสู่การปะทะที่ยืดเยื้อ จนมีทหารไทยเสียชีวิต 109 นาย และบาดเจ็บอีก 664 นาย
ในทศวรรษที่ผ่านมา ความตึงเครียดระหว่างไทยกับกัมพูชายังเกิดขึ้นเป็นระยะ จากการที่ยังไม่มีการปักปันเขตแดนอย่างเป็นทางการในหลายจุด โดยเฉพาะพื้นที่รอบช่องบกที่ทั้งสองฝ่ายต่างอ้างสิทธิ์ ส่งผลให้การใช้พื้นที่ต้องอาศัยความระมัดระวังเป็นพิเศษ เหตุปะทะที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้จากกรณีละเมิดบันทึกความเข้าใจ MOU ปี 2543 เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของความเปราะบางทางชายแดนที่ยังคงมีอยู่
สัญลักษณ์แห่งมิตรภาพที่หายไป
ในปี พ.ศ. 2536 ระหว่างที่ พล.ท.อิสระพงศ์ หนุนภักดี ดำรงตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 2 ได้มีการก่อสร้าง “ศาลาตรีมุข” ขึ้นที่จุดกึ่งกลางสามเหลี่ยมมรกต โดยได้รับความร่วมมือจากกำลังทหารของทั้งสามประเทศ ศาลาแห่งนี้หันจั่วออกไปยังแต่ละประเทศ เป็นสัญลักษณ์ของมิตรภาพและความร่วมมือพหุภาคี แต่ในช่วงต้นปี 2568 ศาลาดังกล่าวถูกไฟไหม้เสียหายทั้งหมด จากเหตุเพลิงไหม้บ้านเรือนของชาวกัมพูชาในพื้นที่ใกล้เคียงที่ลุกลามเข้ามา
ห้วงแห่งโอกาสทางเศรษฐกิจ
แม้จะมีประวัติศาสตร์ที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง แต่ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา บริเวณสามเหลี่ยมมรกตกำลังเปลี่ยนบทบาทจากพื้นที่แห่งความตึงเครียด มาเป็นเวทีของความร่วมมือระดับภูมิภาค
นับตั้งแต่เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2544 รัฐบาลไทยเริ่มผลักดันนโยบายพัฒนาพื้นที่นี้ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงสันติภาพร่วมกับลาวและกัมพูชา แนวคิดเชิงสัญลักษณ์ เช่น สนามกอล์ฟ 18 หลุมข้ามแดนสามประเทศ และการพัฒนาศูนย์การค้าชายแดน ได้ถูกเสนอเป็นแนวทางสร้างความร่วมมือใหม่ แม้ยังไม่มีการดำเนินการจริงเนื่องจากข้อจำกัดด้านความมั่นคงและระบบชายแดน
ขณะเดียวกัน แผนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การเปิดจุดผ่านแดน การเชื่อมโยงเส้นทางท่องเที่ยวระหว่างอีสานใต้-เขมรเหนือ-ลาวใต้ และการผลักดันเศรษฐกิจชายแดน กำลังช่วยวางรากฐานใหม่ให้พื้นที่นี้เป็นมากกว่า “ชายแดน” แต่คือ “จุดนัดพบของอนาคต”
จุดเชื่อมต่อแห่งอนาคต
แนวคิด “สามเหลี่ยมมรกต” ถูกหยิบยกขึ้นมาโดยเลียนแบบแนวทางการพัฒนา “สามเหลี่ยมทองคำ” ซึ่งเป็นรอยต่อของไทย ลาว และเมียนมาในภาคเหนือ เพื่อสร้างอัตลักษณ์ใหม่ให้พื้นที่ชายแดนลุ่มน้ำโขงตอนล่างในฐานะแบรนด์การท่องเที่ยวระดับภูมิภาค
แม้สถานการณ์ในพื้นที่ยังไม่ปลอดจากความขัดแย้งและข้อพิพาท แต่ “สามเหลี่ยมมรกต” ก็เป็นตัวอย่างของความพยายามในการเปลี่ยนพื้นที่ชายแดนที่เคยเผชิญหน้า ให้กลายเป็นพื้นที่แห่งการเชื่อมโยง หากสามประเทศสามารถรักษาแนวทางความร่วมมือและเดินหน้าตามเป้าหมายร่วมอย่างต่อเนื่อง พื้นที่นี้อาจกลายเป็นต้นแบบของการอยู่ร่วมกันท่ามกลางความแตกต่าง และเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับภูมิภาคอื่นที่กำลังเผชิญความท้าทายคล้ายคลึงกัน