KTAMเปิดคัมภีร์ชู3ธีมเด็ด ตลาดปั่นป่วนลงทุนให้รอด

ดร.สมชัย อมรธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนและลูกค้าสัมพันธ์ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกรุงไทย จำกัด (KTAM) ให้ความเห็นต่อการลงทุนในภาวะที่ตลาดมีความผันผวนว่า หากในพอร์ตลงทุนประกอบด้วยสินทรัพย์ที่หลากหาย ทั้งหุ้น ตราสารหนี้ สินทรัพย์ทางเลือก เป็นต้น ก็จะช่วยให้พอร์ตลงทุนมีความผันผวนน้อยลงได้ แต่ทั้งนี้ก็ยังขึ้นอยู่กับน้ำหนักการลงทุนในแต่ละสินทรัพย์ด้วย ซึ่งขึ้นอยู่กับความเสี่ยงของผู้ลงทุน

“ในจังหวะที่หุ้น หรือสินทรัพย์ต่างๆ ทั่วโลกมีการปรับฐานลงหนัก หรือผันผวนสูง ถามตัวเองว่าเรายังนอนหลับได้สบายไหม ถ้าหลับไม่ลง แสดงว่าเราต้องมีการปรับพอร์ตลงทุน โดยลดการถือสินทรัพย์เสี่ยงสูง และอาจจะเพิ่มการถือเงินสดในช่วงนี้ แต่ถ้าเรายังนอนหลับ และเงินในพอร์ตเป็นเงินเย็นไม่ต้องรีบใช้ รับความเสี่ยงได้สูงในจังหวะที่ปรับฐานก็อาจเป็นโอกาสของการลงทุนได้”

เชื่อมั่นหุ้นลงทุนยาวดี

ดร.สมชัย มองว่าระยะยาว 3 ปีข้างหน้า หุ้นจะน่าสนใจมากขึ้นหลังจากที่มีการปรับฐานลงในปีนี้ จากความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย รวมถึงการลดวงเงิน QEลง ซึ่งจะทำให้สภาพคล่องทั่วโลกลดลง ซึ่งก็มีผลต่อการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ทั่วโลก อย่างไรก็ตามการปรับฐานลงของตลาดหุ้นก็จะทำให้พีอี (P/E) ตลาดถูกลง และเพิ่มความน่าสนมากขึ้น ประกอบกับแนวโน้มเศรษฐกิจภาพรวมก็ยังไม่ได้เข้าสู่ภาวะถดถอย อาจจะมีการเติบโตลดลง และกำไรของบริษัทจดทะเบียนหลายแห่งในไตรมาสแรกปีนี้ก็ออกมาค่อนข้างดี ดังนั้นในระยะยาหุ้นก็ยังเป็นสินทรัพย์ที่น่าสนใจ

โดย ธีมลงทุนที่ KTAM มอง ณ ตอนนี้ มี 3 ธีม คือ สินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity) ธีมเปิดเมือง (Reopening) และธีม พลังงานสีเขียว (Green Energy) ที่เกี่ยวกับ ภาวะโลกร้อน (Climate change) ซึ่งเป็นธีมที่สามารถลงทุนได้ อย่างไรก็ตาม ดร.สมชัย แนะนำว่า ในธีมสินค้าโภคภัณฑ์ ต้องเพิ่มความระมัดระวังเพราะถือว่าขึ้นมามากแล้ว ทำให้มี Upsideจำกัด  โดยเฉพะหุ้นพลังงาน

หุ้นไทย1,750 จุด -เปิดเมืองหนุน

ส่วนธีม เปิดเมือง ดร.สมชัย มองว่า ยังมีโอกาสเล่นต่อได้ ซึ่งรวมถึงในตลาดหุ้นไทยที่มีการเปิดประเทศรับการท่องเที่ยวจากต่างชาติ จะหนุนการบริโภคภายในประเทศให้เติบโต รวมถึงหุ้นที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวจะค่อยๆฟื้นตัว รวมถึงมาตรการต่างๆจากภาครัฐในการสนับสนุนให้เกิดการบริโภคภายในประเทศ โดนประเมินดัชนีหุ้นไทยในปี 2565 จะอยู่ที่ 1,750 จุด และปี 2565 จะไปที่ 1,890 จุด

ส่วนธีม พลังงานสีเขียว (Green Energy) ดร.สมชัย มองว่า ในระยะถัดไปมีโอกาสเติบโตสูง ส่วนหนึ่งจากเมกะเทรนด์โลกที่ให้ความใส่ใจเรื่องภาวะโลกร้อน (Climate change) มากขึ้นเนื่องจากเป็นผลกระทบที่ได้รับกันทุกคน ทุกประเทศ และเรื่องของภาวะสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ทำให้ยุโรปประสบปัญหาด้านพลังงาน ประเด็นนี้เชื่อว่าจะทำให้ยุโรปมองหาพลังงานรูปแบบใหม่ ๆ เข้ามาทดแทนการนำเข้าพลังงานจากรัสเซีย

“แม้ยุโรปจะไม่สามารถลดการพึ่งพลังงานจากรัสเซียได้ทันที แต่ด้วยสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เชื่อว่าจะทำให้ยุโรปหันมาพึ่งตัวเองมากขึ้นด้วยการพัฒนาพลังงานสะอาด พลังงานทดแทนขึ้นมา ซึ่งในระยะถัดไปจะเป็นผลดีต่อหุ้นในกลุ่มนี้”

ดร.สมชัย แนะนำต่อไปว่า สิ่งที่ต้องจับตาการลงทุนในระยะต่อจากนี้คือการลดวงเงิน QE ซึ่งจะกระทบต่อสภาพคล่องทั่วโลก ส่วนเงินเฟ้อของสหรัฐเชื่อว่าผ่านจุดพีคไปแล้ว แต่จะทรงตัวอยู่ในระดับสูง ซึ่งทำให้ต้องติตามการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดต่อไป