รีเซต

SCB FM ชี้บาทแข็งค่าระยะสั้น จับตาปีหน้ากลับมาอ่อนตัว

SCB FM ชี้บาทแข็งค่าระยะสั้น จับตาปีหน้ากลับมาอ่อนตัว
ทันหุ้น
3 ธันวาคม 2568 ( 18:11 )

#ทันหุ้น - กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB Financial Markets: SCB FM) ชี้เงินบาทเดือนที่ผ่านมาเคลื่อนไหวในกรอบแคบ แต่ในช่วงที่เหลือของปีนี้ มองว่าเงินบาทอาจแข็งค่าอีกเล็กน้อย เนื่องจาก 1) เทรนด์การแข็งค่าของเงินบาทในเดือน ธ.ค. ที่พบว่ามักแข็งค่าขึ้นราว 0.8%MOM ในช่วงเกือบ 10 ปีที่ผ่านมา 2) Fed มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยได้อีก 1 ครั้งในเดือน ธ.ค. และ 3) สกุลเงินภูมิภาคอาจแข็งค่าได้ในระยะสั้น หนุนให้บาทแข็งค่าตามได้ โดยมองกรอบเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐปลายปีนี้ที่ราว 31.70-32.20

สำหรับในปี 2026 มองว่าเงินบาทอาจกลับมาอ่อนค่าได้ เนื่องจาก 1) ดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น จากเทรนด์การลงทุนด้าน AI ที่จะหนุนเศรษฐกิจสหรัฐฯ และเงินทุนที่มีแนวโน้มไหลเข้าสหรัฐฯ 2) เศรษฐกิจ ไทยมีแนวโน้มอ่อนแอลง รวมถึงความไม่แน่นอนทางการเมืองที่อาจเพิ่มขึ้นในปีหน้า และ 3) ราคาทองคำมีแนวโน้มสูงขึ้นในอัตราที่น้อยลง รวมถึงผลของราคาทองต่อเงินบาทอาจมีน้อยลง จึงมองกรอบเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐปลายปี 2026 ที่ 33.00-34.00 ด้านอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย มองว่า Yield curve มีแนวโน้มปรับชันขึ้น (Bear steepen) เพราะ Yields ระยะสั้นจะปรับลดลงตามแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของ กนง. ขณะที่ Yields ระยะยาวจะเผชิญแรงกดดันด้านสูงมากกว่าจากอุปสงค์พันธบัตรที่ลดลง และอุปทานที่อาจเพิ่มขึ้นในระยะต่อไป

นายแพททริก ปูเลีย รองผู้จัดการใหญ่ Head of Financial Markets Function ธนาคารไทยพาณิชย์ มองว่าเทรนด์เศรษฐกิจและตลาดการเงินในปีหน้า 3 เทรนด์หลักประกอบด้วย 1) การลงทุนด้าน AI ที่คาดว่าจะไปต่อได้ จะช่วยหนุนสินทรัพย์สหรัฐฯ ให้ปรับสูงขึ้นต่อได้ 2) นโยบายการเงินโลกจะยังแตกต่างกัน แต่ตลาดได้ Price-in ไปมากแล้ว ทำให้ผลต่อตลาดเงินอาจไม่มากนัก และ 3) เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มชะลอลงในปีหน้า ทำให้ กนง. จะลดดอกเบี้ยต่อได้ และเงินบาทอาจกลับมาอ่อนค่าได้

นายแพททริกกล่าวเสริมว่า การลงทุนด้าน AI ในสหรัฐฯอาจสูงกว่า 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในระยะเวลา 5 ปีข้างหน้า หรือมากกว่า 10% ของ GDP ของสหรัฐฯ ประกอบนโยบายภาครัฐที่คาดว่าจะส่งผลต่อเศรษฐกิจมากขึ้นในปีนี้ จะเป็นปัจจัยสำคัญที่หนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจ และสินทรัพย์สหรัฐฯ ได้โดยอาจยังไม่เกิดภาวะฟองสบู่ในภาค AI เนื่องจาก 1) คาดว่า Capital expenditure จะโตต่อได้ แม้จะชะลอลงจากปีก่อน ขณะที่ยอดการถือครองเงินสดของบริษัท Tech ขนาดใหญ่ยังอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีต สะท้อนว่าการลงทุนใน AI ยังมาจากสภาพคล่องในบริษัท ไม่ได้มาจากการกู้ยืม ซึ่งต่างจากช่วงก่อนวิกฤต Dot-com

2) สัดส่วน Cash-to-capex ratio ของบริษัท AI ขนาดใหญ่ยังสูงกว่า 1 ต่างจากช่วงวิกฤตครั้งก่อน ๆ ที่สัดส่วนมักต่ำกว่า 1 ซึ่งสะท้อนการลงทุนผ่านการกู้ยืม (Leverage) ที่มากเกินไป 3) อัตราว่างของ Data center อยู่ใกล้ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ และกำลังการผลิตใหม่ส่วนใหญ่กว่า 75% ถูกเช่าล่วงหน้าแล้ว แสดงให้เห็น Real demand 4) ผู้นำกลุ่ม AI (คลาวด์/ชิป) ยังมีกำไรจากการดำเนินงานและ ROIC แข็งแกร่ง ต่างจากยุค Dot-com ที่บริษัทส่วนใหญ่ขาดทุนและต้องพึ่งพาการออกหุ้น และ 5) งบลงทุนส่วนใหญ่กระจุกที่บริษัทยักษ์ใหญ่ด้าน Cloud (Hyperscalers) และผู้ผลิตชิป ที่มีผลกำไรดี และไม่ได้กระจายไปยังสตาร์ทอัพขนาดเล็กที่ขาดทุนมาก จึงช่วยลดความเสี่ยงต่อระบบเศรษฐกิจในภาพรวม

ด้วยเหตุนี้ ดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อาจกลับมาแข็งค่าได้ ในช่วงที่เกิด Investment boom โดยมองว่าอาจแข็งค่าในไตรมาส 2 เป็นต้นไปหลังจากที่ Fed จบ Easing cycle ส่วน US Treasury yield curve อาจชัน (Steepen) ขึ้นได้ เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยดุลยภาพ (Neutral rate) ในระยะกลาง-ยาว มีแนวโน้มสูงขึ้น อย่างไรก็ดี ยังต้องจับตาความเสี่ยง Market correction หลัง Valuation ของราคาหุ้นกลุ่ม Tech ปรับสูงขึ้นมาก เนื่องจากตลาด Bullish จาก AI ไปมากแล้ว ซึ่งความสำเร็จในระยะต่อไปจะขึ้นอยู่กับการนำมาใช้ (AI adoption) ในวงกว้างได้หรือไม่

สำหรับมุมมองนโยบายการเงินที่คาดว่าจะแตกต่างกันในแต่ละภูมิภาค นายแพททริกประเมินว่า Fed มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือน ธ.ค. นี้ และอีก 2 ครั้งในปีหน้า ทำให้จุดต่ำสุดของดอกเบี้ยนโยบายในสหรัฐฯ จะอยู่ที่ range 3.00-3.25% ส่วนธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีแนวโน้มคงดอกเบี้ยต่อเนื่องที่ 2.00% ในปี 2026 สะท้อนว่า Easing cycle ในยุโรปได้จบลงไปในปี 2025 ด้านธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) มีแนวโน้มกลับมาขึ้นดอกเบี้ยได้ ตั้งแต่การประชุมเดือน ธ.ค. นี้และอาจขึ้นได้อีก 1 ครั้งในปีหน้า ทำให้ดอกเบี้ยนโยบายจะขึ้นไปอยู่ที่ 1.00% ณ สิ้นปี 2026 ดังนั้น ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างสหรัฐฯ และประเทศอื่นมีแนวโน้มแคบลงในปีหน้า แต่คาดว่าปัจจัยนี้จะไม่กระทบค่าเงินดอลลาร์มากนัก เนื่องจากตลาดได้คาดการณ์การลดดอกเบี้ยของ Fed ไว้แล้ว รวมถึงมองว่าการลดดอกเบี้ยจะจบลงภายในไตรมาสที่ 2 ซึ่งจะลดแรงกดดันต่อดอลลาร์ในช่วงครึ่งปีหลังได้

นายแพททริกกล่าวด้วยว่า ช่วงที่มีการขึ้นภาษีนำเข้า (Tariffs) ในเดือน เม.ย. ปีนี้ นักลงทุนลดความเสี่ยงในการถือครองสินทรัพย์สหรัฐฯ จึงเห็นเงินไหลออกจากสหรัฐฯ เข้ายุโรปและเอเชีย และเห็นการเพิ่ม Hedging ratio ของการลงทุนในสินทรัพย์สหรัฐฯ เพื่อลดความเสี่ยงจากเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง สำหรับตลาดการเงินไทย ก็เห็นการเพิ่ม Hedging ratio ของการลงทุนเช่นกัน (โดยการขาย USDTHB forward) ซึ่งกดดันให้บาทแข็งค่าในช่วงหลังจากนั้น

อย่างไรก็ดี ในช่วงไตรมาส 3 พบว่านักลงทุนโลกเริ่มคลายความกังวลลง และเริ่มมีการลด Hedging ratio ลงมา พร้อมกับเงินทุนที่เริ่มไหลกลับเข้าสหรัฐฯ ในระยะต่อไป Hedging ratio จะเริ่มทรงตัว ซึ่งจะลดแรงกดดันด้านอ่อนค่าต่อดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐลงได้ ส่วนเงินทุนเคลื่อนย้ายมีแนวโน้มไหลเข้าสหรัฐฯ ได้ในปีหน้า สอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจ นอกจากนี้ นโยบายการเงินของ Fed จะไม่แตกต่างจากเดิมมากแม้จะมีประธาน Fed คนใหม่ที่ Dovish มากขึ้น ประกอบกับความเสี่ยงจากนโยบายกีดกันการค้าที่อาจทุเลาลง

นายวชิรวัฒน์ บานชื่น นักกลยุทธ์ตลาดการเงินอาวุโส ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า เดือนที่ผ่านมาเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบแคบโดยมีปัจจัยด้านอ่อนค่าจากเลขส่งออกเดือน ต.ค. ที่โตชะลอลง และการอ่อนค่าของเงินภูมิภาค (เช่น เงินเยน และเงินหยวน) ทั้งนี้ ดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลงในช่วงปลายเดือน พ.ย. ทำให้เงินบาทกลับมาแข็งค่าได้ สำหรับในช่วงที่เหลือของปีนี้ มองว่าเงินบาทอาจแข็งค่าได้อีกเล็กน้อย เนื่องจาก 1) เทรนด์การแข็งค่าของเงินบาทในช่วงปลายปี โดยพบว่าในเดือน ธ.ค. เงินบาทแข็งค่าขึ้นเฉลี่ย 0.8% เทียบกับเดือนก่อนหน้า และแข็งค่าขึ้นถึง 7 จาก 9 ปีที่ผ่านมา 2) Fed มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยได้อีก 1 ครั้งในเดือน ธ.ค. นี้ รวมถึงศาลสูงสุดของสหรัฐฯ อาจตัดสินเรื่องนโยบาย Tariffs ของทรัมป์ ซึ่งอาจทำให้ดอลลาร์อ่อนค่าได้ในระยะสั้น และ 3) สกุลเงินภูมิภาคอาจแข็งค่าได้ในระยะสั้น เช่น เงินเยนที่อาจแข็งค่าตามการขึ้นดอกเบี้ยของ BOJ ดังนั้น จึงคาดว่า เงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐอาจอยู่ที่ราว 31.70-32.20 ณ ปลายปีนี้

สำหรับในระยะกลาง-ยาว (ตั้งแต่ไตรมาส 2 ของปี 2026 เป็นต้นไป) เงินบาทอาจอ่อนค่าได้ เนื่องจาก 1) ดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นในปีหน้าจากเงินทุนเคลื่อนย้ายรวมถึง FDI ที่อาจไหลเข้าสหรัฐฯ ทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดมีแนวโน้มขาดดุลน้อยลง 2) ความกังวลว่า Fed จะถูกแทรกแซงน่าจะปรับลดลง ทำให้ลดความกังวลต่อสินทรัพย์สหรัฐฯ ลงได้ 3) เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มอ่อนแอลง รวมถึงความไม่แน่นอนทางการเมืองที่อาจเพิ่มขึ้นในช่วงที่มีการเลือกตั้ง (คาดว่าต้นไตรมาส 2) อีกทั้ง ยังมีความกังวลเรื่องการปรับลด Credit rating ของไทยลง ซึ่งจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนโลกได้ 4) ไทยอาจจะไม่ได้รับอานิสงส์จากเทรนด์ AI มากนัก เนื่องจากยังไม่สามารถแข่งขันด้านเทคโนโลยี และสินค้าไทยยังไม่ตอบโจทย์การลงทุนในเทรนด์นี้ ทำให้เงินทุนที่มีแนวโน้มไหลเข้าตลาดเอเชีย (เช่น ไต้หวัน เกาหลี) อาจไหลเข้าไทยจำกัด และไม่ส่งผลต่อเงินบาทมาก และ 5) ราคาทองคำมีแนวโน้มสูงขึ้นในอัตราที่น้อยลงในปี 2026 รวมถึง ธปท. พยายามลดความสัมพันธ์ของเงินบาทกับราคาทองคำลง จึงทำให้แรงพยุงเงินบาทในปีหน้าอาจลดลง โดยเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐอาจอ่อนค่าไปที่ราว 33.00-34.00 ณ ปลายปีหน้า

ด้านอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย นายวชิรวัฒน์มองว่า Yield curve มีแนวโน้มปรับชันขึ้น (Bear steepen) โดยมองว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้น (ST yields อายุ 2 ปี) อาจปรับลดลงได้ตามการลดดอกเบี้ยของ กนง. โดยการลดดอกเบี้ยอาจเกิดขึ้นอย่างเร็วในการประชุม กนง. เดือนนี้ จึงคาดว่า Yields อายุ 2 ปี อาจอยู่ที่ราว 0.90-1.10% ณ ปลายปี 2026 ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะยาว (LT yields อายุ 10 ปี) อาจเผชิญแรงกดดันด้านสูงได้ เนื่องจาก Term premium อาจปรับสูงขึ้นต่อ ตามอุปสงค์ของนักลงทุนที่มีแนวโน้มลดลง และอุปทานพันธบัตรรัฐบาลรวมถึงหุ้นกู้เอกชนที่คาดว่าจะมีออกมามากขึ้นในไตรมาส 4 ปีนี้ นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนทางการเมืองรวมถึงภาครัฐที่อาจใช้จ่ายมากขึ้น จะช่วยดัน LT yields ในปีหน้าได้ คาดว่า Yields อายุ 10 ปี อาจอยู่ที่ราว 1.70-1.90% ณ ปลายปี 2026

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง