ภาษีสหรัฐฯ 37% เขย่าอุตสาหกรรมส่งออก?

ภาษีสหรัฐฯ 37% บททดสอบใหม่ของการค้าระหว่างประเทศ ไทยพร้อมรับมือแค่ไหน?
“ภาษี 37%” จากสหรัฐฯ ไม่ใช่แค่ตัวเลขที่สะเทือนวงการส่งออกไทย แต่ยังสะท้อนว่าการค้าระหว่างประเทศในปัจจุบัน ไม่ได้วัดกันแค่คุณภาพของสินค้า แต่เกี่ยวพันกับภูมิรัฐศาสตร์ การเจรจา และอำนาจต่อรองระดับโลก
เมื่อ โดนัลด์ ทรัมป์ กลับมาพร้อมนโยบาย “ภาษีตอบโต้” (Reciprocal Tariffs) โดยไทยถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่ต้องเสียภาษีสูงถึง 37% ถือว่าสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ถึง 3 เท่า สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับภาคการส่งออกทันที
(1) ส.อ.ท. ขยับทันที หลังพบผลกระทบรุนแรงกว่าที่คาด
สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เรียกประชุมด่วนทุกกลุ่มอุตสาหกรรมที่ส่งออกไปสหรัฐฯ เพื่อประเมินผลกระทบ พบว่ามาตรการนี้อาจสร้างความเสียหาย มูลค่าระหว่าง 8-9 แสนล้านบาท
กลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบหนัก ได้แก่
- อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน ที่เผชิญภาษี 25% ซึ่งอาจกระทบต่อการตัดสินใจของบริษัทแม่ในการคงฐานการผลิตไว้ในไทย
- อาหารแปรรูปและผลิตภัณฑ์ประมง เช่น ปลาทูน่าและกุ้ง ที่เคยได้รับสิทธิภาษี 0% แต่ถูกปรับขึ้นเป็น 36%
- อุตสาหกรรมพลาสติกและเคมีภัณฑ์ ที่ต้องรับภาระต้นทุนเพิ่มขึ้น เสี่ยงต่อการสูญเสียตลาด
- เครื่องจักร สิ่งทอ และอิเล็กทรอนิกส์ ที่เริ่มเห็นสัญญาณคำสั่งซื้อลดลงจากผู้ซื้อในสหรัฐฯ
ขณะเดียวกัน ยังมีอุตสาหกรรมที่ อาจได้รับผลดี จากสถานการณ์นี้ เช่น รองเท้า เนื่องจากประเทศคู่แข่งอย่างเวียดนามและกัมพูชาเผชิญภาษีสูงกว่า ทำให้สินค้าไทยมีความสามารถในการแข่งขันมากขึ้นในตลาดสหรัฐฯ
(2) อุปสรรคไม่ได้มีแค่ “ภาษี” แต่ยังรวมถึง “มาตรการแฝง”
แม้ภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ จะเป็นประเด็นหลัก แต่ ส.อ.ท. ยังชี้ว่าไทยเผชิญอุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (NTBs) สะสมมานาน ไม่ว่าจะเป็นมาตรการสุขอนามัยที่เข้มงวด ขั้นตอนศุลกากรที่ซับซ้อนและประเมินมูลค่ายาก กฎหมายต่างด้าวที่จำกัดการถือหุ้นของต่างชาติ ข้อจำกัดในการโอนข้อมูลข้ามพรมแดนตามกฎหมาย PDPA ซึ่งส่งผลต่อธุรกิจเทคโนโลยี และปัญหาการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ที่ทำให้ไทยยังติดอยู่ในบัญชีเฝ้าระวังพิเศษของสหรัฐฯ ซึ่งแม้จะไม่ใช่ภาษีโดยตรง แต่กลับเป็นปัจจัยที่บั่นทอนความสามารถในการแข่งขันของสินค้าและบริการไทยในตลาดโลกอย่างมีนัยสำคัญ
(3) รัฐบาลขยับเร็ว ตั้งทีมเฉพาะกิจ และเร่งเจรจาโดยตรง
แม้ข่าวภาษีจะดูรุนแรง แต่รัฐบาลไม่ได้รอให้สถานการณ์เลวร้ายก่อนจะขยับ
นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร แถลงชัดว่า รัฐบาลได้ตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจตั้งแต่ต้นปี 2568 เพื่อเตรียมรับมือมาตรการดังกล่าว และได้หารือกับสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่องทั้งในระดับภาครัฐและเอกชน โดยในสัปดาห์หน้า นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จะเดินทางไปเจรจาโดยตรงในสหรัฐฯ
ข้อเสนอของไทยประกอบด้วย
- การเพิ่มนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และปลาทูน่า เพื่อปรับสมดุลทางการค้า
- การทบทวนภาษีนำเข้าของไทยบางรายการ เช่น รถจักรยานยนต์ ที่ปัจจุบันมีภาษีนำเข้าสูง
- การออกใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า เพื่อยืนยันว่าเป็นสินค้าที่ผลิตในไทยจริง ไม่ใช่ของประเทศอื่นที่สวมสิทธิ
- การขยายตลาดใหม่และเร่งทำ FTA กับกลุ่มประเทศในตะวันออกกลาง อินเดีย และยุโรป เพื่อลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ
(4) ไทยไม่ได้แค่ “ตั้งรับ” แต่กำลัง “วางเกมใหม่”
ส.อ.ท. และรัฐบาลมีจุดยืนตรงกันว่า โอกาสจากวิกฤตนี้คือการ ยกเครื่องระบบเศรษฐกิจ ให้แข็งแรงและทันสมัยขึ้น
ไทยกำลัง เร่งปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญา และการคุ้มครองข้อมูล เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานโลก
เรากำลัง เจรจาข้อเสนอการลงทุนใหม่ๆ กับสหรัฐฯ เพื่อให้ไทยเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่เชื่อถือได้
ที่สำคัญ ไทยต้อง ขยับจากประเทศผู้ผลิตต้นทุนต่ำ ไปสู่ประเทศที่ส่งออกสินค้าเทคโนโลยีขั้นสูงและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม
ภาษี 37% อาจแรง แต่ไทยกำลังปรับตัวอย่างมีชั้นเชิง
ภาษีจากสหรัฐฯ ครั้งนี้เป็นเสมือน “บททดสอบใหญ่” ของทั้งภาครัฐและภาคเอกชนไทย
ไทยจะไม่ยอมเป็นเพียง "ผู้ส่งออกที่ถูกรุก" แต่กำลังกลายเป็น "ผู้เล่นที่วางหมากใหม่ได้"
การเจรจาครั้งนี้ไม่ใช่แค่เรื่องภาษี แต่เป็นการพิสูจน์ว่า ประเทศไทยมีศักยภาพเพียงใดในการยืนหยัดในระบบเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว