รีเซต

ภาษีสหรัฐฯ 37% เขย่าอุตสาหกรรมส่งออก?

ภาษีสหรัฐฯ 37%  เขย่าอุตสาหกรรมส่งออก?
TNN ช่อง16
6 เมษายน 2568 ( 13:21 )
9

ภาษีสหรัฐฯ 37% บททดสอบใหม่ของการค้าระหว่างประเทศ ไทยพร้อมรับมือแค่ไหน?

“ภาษี 37%” จากสหรัฐฯ ไม่ใช่แค่ตัวเลขที่สะเทือนวงการส่งออกไทย แต่ยังสะท้อนว่าการค้าระหว่างประเทศในปัจจุบัน ไม่ได้วัดกันแค่คุณภาพของสินค้า แต่เกี่ยวพันกับภูมิรัฐศาสตร์ การเจรจา และอำนาจต่อรองระดับโลก


เมื่อ โดนัลด์ ทรัมป์ กลับมาพร้อมนโยบาย “ภาษีตอบโต้” (Reciprocal Tariffs) โดยไทยถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่ต้องเสียภาษีสูงถึง 37% ถือว่าสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ถึง 3 เท่า สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับภาคการส่งออกทันที

(1) ส.อ.ท. ขยับทันที หลังพบผลกระทบรุนแรงกว่าที่คาด

สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เรียกประชุมด่วนทุกกลุ่มอุตสาหกรรมที่ส่งออกไปสหรัฐฯ เพื่อประเมินผลกระทบ พบว่ามาตรการนี้อาจสร้างความเสียหาย มูลค่าระหว่าง 8-9 แสนล้านบาท

กลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบหนัก ได้แก่

  • อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน ที่เผชิญภาษี 25% ซึ่งอาจกระทบต่อการตัดสินใจของบริษัทแม่ในการคงฐานการผลิตไว้ในไทย
  • อาหารแปรรูปและผลิตภัณฑ์ประมง เช่น ปลาทูน่าและกุ้ง ที่เคยได้รับสิทธิภาษี 0% แต่ถูกปรับขึ้นเป็น 36%
  • อุตสาหกรรมพลาสติกและเคมีภัณฑ์ ที่ต้องรับภาระต้นทุนเพิ่มขึ้น เสี่ยงต่อการสูญเสียตลาด
  • เครื่องจักร สิ่งทอ และอิเล็กทรอนิกส์ ที่เริ่มเห็นสัญญาณคำสั่งซื้อลดลงจากผู้ซื้อในสหรัฐฯ

ขณะเดียวกัน ยังมีอุตสาหกรรมที่ อาจได้รับผลดี จากสถานการณ์นี้ เช่น รองเท้า เนื่องจากประเทศคู่แข่งอย่างเวียดนามและกัมพูชาเผชิญภาษีสูงกว่า ทำให้สินค้าไทยมีความสามารถในการแข่งขันมากขึ้นในตลาดสหรัฐฯ

(2) อุปสรรคไม่ได้มีแค่ “ภาษี” แต่ยังรวมถึง “มาตรการแฝง”

แม้ภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ จะเป็นประเด็นหลัก แต่ ส.อ.ท. ยังชี้ว่าไทยเผชิญอุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (NTBs) สะสมมานาน ไม่ว่าจะเป็นมาตรการสุขอนามัยที่เข้มงวด ขั้นตอนศุลกากรที่ซับซ้อนและประเมินมูลค่ายาก กฎหมายต่างด้าวที่จำกัดการถือหุ้นของต่างชาติ ข้อจำกัดในการโอนข้อมูลข้ามพรมแดนตามกฎหมาย PDPA ซึ่งส่งผลต่อธุรกิจเทคโนโลยี และปัญหาการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ที่ทำให้ไทยยังติดอยู่ในบัญชีเฝ้าระวังพิเศษของสหรัฐฯ ซึ่งแม้จะไม่ใช่ภาษีโดยตรง แต่กลับเป็นปัจจัยที่บั่นทอนความสามารถในการแข่งขันของสินค้าและบริการไทยในตลาดโลกอย่างมีนัยสำคัญ

(3) รัฐบาลขยับเร็ว ตั้งทีมเฉพาะกิจ และเร่งเจรจาโดยตรง

แม้ข่าวภาษีจะดูรุนแรง แต่รัฐบาลไม่ได้รอให้สถานการณ์เลวร้ายก่อนจะขยับ

นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร แถลงชัดว่า รัฐบาลได้ตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจตั้งแต่ต้นปี 2568 เพื่อเตรียมรับมือมาตรการดังกล่าว และได้หารือกับสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่องทั้งในระดับภาครัฐและเอกชน โดยในสัปดาห์หน้า นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จะเดินทางไปเจรจาโดยตรงในสหรัฐฯ


ข้อเสนอของไทยประกอบด้วย

  • การเพิ่มนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และปลาทูน่า เพื่อปรับสมดุลทางการค้า
  • การทบทวนภาษีนำเข้าของไทยบางรายการ เช่น รถจักรยานยนต์ ที่ปัจจุบันมีภาษีนำเข้าสูง
  • การออกใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า เพื่อยืนยันว่าเป็นสินค้าที่ผลิตในไทยจริง ไม่ใช่ของประเทศอื่นที่สวมสิทธิ
  • การขยายตลาดใหม่และเร่งทำ FTA กับกลุ่มประเทศในตะวันออกกลาง อินเดีย และยุโรป เพื่อลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ

(4) ไทยไม่ได้แค่ “ตั้งรับ” แต่กำลัง “วางเกมใหม่”

ส.อ.ท. และรัฐบาลมีจุดยืนตรงกันว่า โอกาสจากวิกฤตนี้คือการ ยกเครื่องระบบเศรษฐกิจ ให้แข็งแรงและทันสมัยขึ้น

ไทยกำลัง เร่งปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญา และการคุ้มครองข้อมูล เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานโลก

เรากำลัง เจรจาข้อเสนอการลงทุนใหม่ๆ กับสหรัฐฯ เพื่อให้ไทยเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่เชื่อถือได้

ที่สำคัญ ไทยต้อง ขยับจากประเทศผู้ผลิตต้นทุนต่ำ ไปสู่ประเทศที่ส่งออกสินค้าเทคโนโลยีขั้นสูงและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม

ภาษี 37% อาจแรง แต่ไทยกำลังปรับตัวอย่างมีชั้นเชิง

ภาษีจากสหรัฐฯ ครั้งนี้เป็นเสมือน “บททดสอบใหญ่” ของทั้งภาครัฐและภาคเอกชนไทย

ไทยจะไม่ยอมเป็นเพียง "ผู้ส่งออกที่ถูกรุก" แต่กำลังกลายเป็น "ผู้เล่นที่วางหมากใหม่ได้"

การเจรจาครั้งนี้ไม่ใช่แค่เรื่องภาษี แต่เป็นการพิสูจน์ว่า ประเทศไทยมีศักยภาพเพียงใดในการยืนหยัดในระบบเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว

“ถ้าเราปรับตัวเร็ว ยืดหยุ่น และร่วมมือกันให้ดี

ไทยจะไม่ใช่ผู้เสียเปรียบในเกมการค้า — แต่จะเป็นผู้วางเกมใหม่ที่นานาชาติเชื่อถือได้”

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง