"Under Armour" คาดรายได้ร่วง เปลี่ยน CFO กลางปี

Under Armour ผู้ผลิตเครื่องแต่งกายและรองเท้ากีฬาชื่อดังจากสหรัฐอเมริกา เปิดเผยประมาณการผลประกอบการประจำปี โดยรายได้และกำไรจะอยู่ในระดับต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ เนื่องจากความต้องการซื้อของผู้บริโภคลดลงและต้นทุนจากภาษีนำเข้าที่สูงขึ้นภายใต้นโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลสหรัฐฯ ส่งผลให้บริษัทต้องเผชิญแรงกดดันด้านต้นทุนและยอดขายต่อเนื่องในปีนี้
Under Armour ระบุว่ารายได้ทั้งปีอาจลดลงราวร้อยละ 4-5 ในขณะที่รายได้ในไตรมาสปัจจุบันอาจหดตัวร้อยละ 6-7 ซึ่งถือว่าต่ำกว่าการคาดการณ์ของตลาด ส่วนกำไรต่อหุ้นคาดอยู่ระหว่าง 3-5 เซนต์ ซึ่งน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์ประเมินไว้เฉลี่ย 6 เซนต์ อย่างไรก็ตาม รายได้ในไตรมาสที่สองอยู่ที่ 1.33 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ สูงกว่าที่คาดเล็กน้อย และมีกำไรปรับปรุงที่ 4 เซนต์ต่อหุ้น ดีกว่าที่ตลาดคาดไว้ 2 เซนต์ แต่แนวโน้มโดยรวมยังอยู่ในทิศทางชะลอตัว
บริษัทซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในรัฐแมริแลนด์ กำลังอยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างธุรกิจครั้งสำคัญภายใต้การนำของ เควิน แพลงก์ ผู้ก่อตั้ง ที่กลับมารับตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา หลังยอดขายลดลงต่อเนื่องในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โดยมีเป้าหมายเพื่อฟื้นความแข็งแกร่งของแบรนด์และสร้างเสถียรภาพในสภาพตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ปัจจัยสำคัญที่กระทบต่อผลประกอบการของ Under Armour คือภาษีนำเข้าที่สูงขึ้นจากนโยบายการค้าของรัฐบาล ซึ่งส่งผลต่อสินค้าจำนวนมากที่ผลิตจากเวียดนาม คิดเป็นประมาณร้อยละ 30 ของสินค้าทั้งหมดของบริษัท โดยต้องเผชิญภาษีนำเข้าร้อยละ 20 และภาษีเพิ่มอีก ร้อยละ 40 สำหรับสินค้าที่ขนส่งผ่านประเทศอื่น ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มต้นทุนรวมราว 100 ล้านดอลลาร์ในปีนี้ ทำให้บริษัทต้องปรับแผนการผลิตและการจัดหาสินค้าเพื่อบรรเทาผลกระทบจากภาษี
นอกจากนี้ Under Armour ยังประกาศเปลี่ยนแปลงตำแหน่งผู้บริหารระดับสูง โดย เดวิด เบิร์กแมน ประธานเจ้าหน้าที่การเงิน จะลงจากตำแหน่ง และแต่งตั้ง เรซา ทาเลกานี ซึ่งเคยดำรงตำแหน่ง CFO ของบริษัท Samsonite เจ้าของแบรนด์กระเป๋า American Tourister เข้ารับตำแหน่งแทน การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวถูกมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของการปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อยกระดับประสิทธิภาพทางการเงินและสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุน
นักวิเคราะห์ในอุตสาหกรรมระบุว่า แม้ Under Armour จะดำเนินแผนฟื้นฟูมานานกว่า 18 เดือน แต่บริษัทยังต้องเผชิญความท้าทายทั้งจากสภาพเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน กำลังซื้อผู้บริโภคที่ระมัดระวังมากขึ้น และการแข่งขันรุนแรงจากแบรนด์คู่แข่งระดับโลกอย่าง Nike และ Adidas ซึ่งยังคงครองตลาดสินค้าแฟชันกีฬาได้อย่างแข็งแกร่ง ราคาหุ้นของ Under Armour ในปีนี้ลดลงแล้วราวร้อยละ 44 และยังปรับตัวลงอีกร้อยละ 2 ในการซื้อขายช่วงเช้าวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ต่อการพลิกกลับมาของบริษัทในระยะสั้น
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
