‘เอกนิติ’ -พณ.-กต.หาแผนสองรับมือโลกป่วน.

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง ในฐานะประธานคณะทำงานยุทธศาสตร์เจรจาการค้ากับสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า ในช่วงเช้าวันที่ 17 พ.ย.68ที่ผ่านมา ได้ประชุมนอกรอบกับทีมยุทธศาสตร์การเจรจา ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการต่างประเทศ และทีมงานที่เกี่ยวข้อง โดยยืนยันไทยยังคงเดินหน้าเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ตามปกติ และให้แยกประเด็นการค้าออกจากประเด็นทางการเมือง ตามนโยบายที่ได้รับจากนายกรัฐมนตรี ซึ่งมั่นใจว่า จะสามารถเจรจาเสร็จสิ้นภายในสิ้นปีนี้ตามกรอบเวลาเดิม
ส่วนการตอบกลับจากสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (ยูเอสทีอาร์) เรื่องระงับการเจรจาภาษีสหรัฐนั้น ขอชี้แจงว่า หนังสือที่ ยูเอสทีอาร์ ได้ส่งมาเป็นหนังสือที่จัดทำขึ้น ก่อนที่นายกฯ ไทย จะได้พูดคุยกับประธานาธิบดีสหรัฐ เมื่อวันที่ 15 พ.ย.68 ดังนั้น ไทยจะยึดข้อมูลล่าสุด คือ การพูดคุยระหว่างผู้นำของทั้งสองประเทศ และเชื่อว่าทางสหรัฐฯ ต้องมีการหารือกันภายในเช่นกัน ซึ่งขณะนี้ยูเอสทีอาร์ ยังไม่มีการตอบกลับเป็นทางการ อย่างไรก็ตาม ฝ่ายไทยยังคงยืนยันที่จะเจรจาตามกรอบเดิมต่อไป
นอกจากนี้ ไทยยังมีแผนการรับมือกับความท้าทายทางเศรษฐกิจโลก เพื่อลดการพึ่งพาภายนอก โดยประเทศไทยมุ่งเน้นที่การสร้างความเข้มแข็งภายในประเทศเป็นหลัก โดยแบ่งเป็นสองเสาหลักสำคัญ ได้แก่
เสาหลักที่ 1 การฟื้นฟูการใช้จ่ายและความเข้มแข็งภายในประเทศ
โดยประเทศไทยต้อง พึ่งพาตนเองและสร้างความเข้มแข็งในประเทศ ไม่สามารถรอพึ่งพาคนอื่นอย่างเดียวได้ ขณะเดียวกัน รัฐบาลได้ดำเนินการฟื้นฟูการใช้จ่ายในประเทศถือว่าเสร็จสิ้นหมดแล้ว ผ่านมาตรการต่าง ๆ เช่น โครงการคนละครึ่งพลัส และ โครงการเที่ยวดีมีคืน จะเริ่มเห็นผลในไตรมาสที่ 4
เสาหลักที่ 2 การหาตลาดใหม่และการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน
นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กำลังดำเนินการเรื่องการหาตลาดใหม่สำหรับการส่งออกอย่างต่อเนื่อง ทั้งตลาดอาเซียน อินเดีย และจีน ซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่ ทั้งนี้ ประเทศไทยต้องมุ่งเน้นการ สร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน และเน้นการลงทุนเพื่ออนาคตของประเทศ
ขณะเดียวกัน ภายใต้เสาหลักที่สอง ยังรวมถึงการ ปรับโครงสร้างหนี้ของประชาชน ซึ่งได้ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว
อย่างไรก็ตาม มาตรการเหล่านี้จะช่วย ฟื้นความเชื่อมั่นของการบริโภค และทำให้เศรษฐกิจเริ่มกลับมา รวมถึงการเร่งรัดการเบิกจ่ายในด้านของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ไตรมาส 3 อยู่ที่ 1.2% และเชื่อว่าไตรมาส 4 น่าจะฟื้นตัวกลับมาดีขึ้นอย่างแน่นอน”