เวิลด์แบงก์ชี้เป้าเศรษฐกิจไทยโต 3.4 % หลังโควิดทำคนจนเพิ่มขึ้น 1 ล้านคน
เวิลด์แบงก์ชี้เป้าอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจไทยปี 2564 อยู่ที่ 3.4 % หลังโควิดทำคนจนเพิ่มขึ้น 1 ล้านคนจากประมาณการเดิม
วันที่ 26 มี.ค.64 นายเกียรติพงศ์ อริยปรัชญานักเศรษฐศาสตร์อาวุโสประจำประเทศไทย ธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) เปิดเผยว่าเวิล์ดแบงก์ประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยล่าสุดได้ปรับประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยปี 2564 อยู่ที่ 3.4% ลดลงจากเดิมคาดไว้โตได้ 4% และคาดว่าจะกลับมาฟื้นตัวได้เต็มศักยภาพเหมือนช่วงก่อนเกิดสถานการณ์โควิด-19 ในปี 2565 ในอัตราการเติบโตที่ 4.7%
ทั้งนี้ ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการเรื่องวัคซีนที่มีแผนกระจายฉีดให้ประชาชน 50-60% ของประเทศภายในปีนี้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อภาคการท่องเที่ยวได้ ขณะที่แม้จะมีการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางกลับเข้ามาเที่ยวไทยทันที เพราะคนยังกังวลเรื่องการติดเชื้อที่มีผลต่อการตัดสินใจไม่เดินทาง ทำให้รายได้จากการท่องเที่ยวที่คาดว่าจะกลับเข้ามาเป็นความเสี่ยงขาลงต่อเศรษฐกิจปีนี้ เป็นปัจจัยที่ต้องติดตาม
โดยเบื้องต้นเวิลด์แบงก์ประเมินว่าปี 2564 จะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไทยประมาณ 4-5 ล้านคน เทียบกับช่วงก่อนเกิดโควิด-19 มีประมาณ 40 ล้านคน
นอกจากนี้ หลังจากเกิดสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ยังพบว่าความเหลื่อมล้ำและความยากจนในไทยเพิ่มขึ้นประมาณ 1 ล้านคนจากประมาณการเดิม ดังนั้นระบบสวัสดิการของรัฐบาลต้องให้ความช่วยเหลือที่เชื่อมโยงและครอบคลุมทั่วถึง พร้อมติดตามประเมินผลให้เห็นเป็นรูปธรรมชัดเจน เช่น กลุ่มแรงงานที่ตกงานควรได้รับการฝึกอบรมทักษะด้านเทคโนโลยีและดิจิตอล ช่วยเพิ่มโอกาสหางานต่อไปได้ เป็นต้น
สำหรับมาตรการช่วยเหลือธุรกิจผ่านมาตรการซอฟต์โลนและโกดังพักหนี้ มองว่ายังนโยบายสำคัญต่อภาคธุรกิจทั้งรายเล็กและรายใหญ่ที่ยังมีความสามารถแต่ขาดสภาพคล่องให้ฟื้นตัวกลับขึ้นมาได้ ช่วยประคับประคองเศรษฐกิจได้ระดับหนึ่ง แต่การเบิกจ่ายงบประมาณซอฟต์โลนที่ค่อนข้างน้อยยังเป็นอุปสรรคต่อโครงการ
"งบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจของไทยอยู่ที่ 6% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ(จีดีพี) ซึ่งถือว่าค่อนข้างใหญ่เมื่อเทียบกับประเทศอื่น สะท้อนว่าไทยมีพื้นที่ทางการคลังให้ความช่วยเหลือสูง เห็นได้จากระดับหนี้สาธารณะก็ยังไม่สูงเกินไป แต่ความเสี่ยงหลักอยู่ที่การใช้ที่อาจไม่เป็นไปตามเป้าหมายมากกว่า" นายเกียรติพงศ์ กล่าว
นายเกียรติพงศ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า เวิลด์แบงก์มีข้อเสนอแนะให้รัฐมองหาโอกาสในการขยายฐานภาษีในแต่ละกลุ่มให้เหมาะสมมากขึ้น เช่น ภาษีที่ดินและภาษีมรดกที่ยังเก็บได้ค่อนข้างต่ำ จากปัจจุบันไทยมีระดับการเก็บภาษีต่อจีดีพีลดลงจากก่อนช่วงเกิดโควิด-19 อยู่ที่ 17% ให้สอดคล้องกับเป้าหมายลดความเหลื่อมล้ำในสังคม
นางวิคตอเรีย ควาควา รองประธานธนาคารโลกประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก กล่าวว่ามีเพียงจีนและเวียดนามเท่านั้นที่เศรษฐกิจฟื้นตัวเป็นรูปตัววี เห็นได้จากผลผลิตสูงกว่าระดับก่อนโควิด-19 แล้ว ขณะที่เศรษฐกิจประเทศอื่นในภูมิภาค ยังคงมีผลผลิตอยู่ในระดับต่ำกว่าก่อนการแพร่ระบาดโดยเฉลี่ย 5%
“การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงที่เกิดจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้การลดความยากจนต้องหยุดชะงักและความเหลื่อมล้ำเพิ่มสูงขึ้น โดยปี 2563 ความยากจนในภูมิภาคไม่ลดลงเป็นครั้งแรกในรอบหลายทศวรรษ ประมาณ 32 ล้านคนในภูมิภาคไม่สามารถออกจากความยากจนได้”