รีเซต

"ประท้วงเจนซี" เนปาล ลามถึง ฟิลิปปินส์ เมื่อคนรุ่นใหม่ไม่ขอทน "ปัญหาปากท้อง-คอร์รัปชัน"

"ประท้วงเจนซี" เนปาล ลามถึง ฟิลิปปินส์ เมื่อคนรุ่นใหม่ไม่ขอทน "ปัญหาปากท้อง-คอร์รัปชัน"
TNN ช่อง16
26 กันยายน 2568 ( 08:16 )
10

"เจนซี" ไม่ทนอีกต่อไป เมื่อปัญหาปากท้องลามสู่การเมือง 



เจนซี จะไม่ทน เจนซีหรือคนรุ่นใหม่ในหลายประเทศ ได้ออกมาเคลื่อนไหวชุมนุมประท้วงครั้งใหญ่ แม้จะเป็นภาพของการต่อต้านการเมือง แต่มีปมลึกที่ตรงกัน คือ ปัญหาปากท้องของคนในชาติ ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในเอเชีย จากวิกฤตในเนปาล ลามมาถึงฟิลิปปินส์ 


 คนรุ่นใหม่ประท้วงต้านทุจริต "ฟิลิปปินส์" 


การประท้วงของกลุ่มเจนซี หรือคนรุ่นใหม่ เกิดขึ้นต่อเนื่องลามไปหลายประเทศ ล่าสุดประเทศฟิลิปปินส์ เมื่อวันที่ 21 กันยายน ที่ผ่านมา เกิดการชุมนุมของประชาชนจำนวนมากในกรุงมะนิลา เพื่อประท้วงต่อต้านการทุจริตในโครงการป้องกันน้ำท่วมของรัฐบาล ซึ่งมีการใช้งบประมาณไปแล้วกว่า 545,000 ล้านเปโซ หรือกว่า 3 แสนล้านบาท นับตั้งแต่ปี 2565 แต่ปรากฎว่าการป้องกันน้ำท่วมไร้ประสิทธิภาพ เพราะช่วงฤดูมรสุมหลายเดือนที่ผ่านมา กลับเกิดเหตุน้ำท่วมใหญ่หลายครั้ง โดยทางประธานาธิบดี"เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์" ได้เร่งสั่งให้ตั้งคณะกรรมการอิสระสอบสวนความผิดปกติดังกล่าวแล้ว


การประท้วงมีภาพความรุนแรงเกิดขึ้น เมื่อผู้ประท้วงเคลื่อนขบวนจะไปชุมนุมหน้าทำเนียบประธานาธิบดี แต่ถูกตำรวจควบคุมฝูงชนขัดขวาง จึงเกิดการปะทะกัน มีการขว้างปาก้อนหินใส่ตำรวจและเผายางรถยนต์ จนเป็นเหตุให้ผู้ประท้วงหลายสิบคนถูกจับกุม


และการประท้วงครั้งนี้ยังตรงกับวันครบรอบการประกาศกฎอัยการศึกโดย "เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส ซีเนียร์" อดีตผู้นำเผด็จการ เมื่อปี พ.ศ.2515 ด้วย ซึ่งก่อให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างกว้างขวางตลอดระยะเวลาสองทศวรรษที่ดำรงตำแหน่ง ซึ่งถือว่าเป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของฟิลิปปินส์ 


ที่สำคัญ คือ กลุ่มผู้ชุมนุมส่วนใหญ่เป็นคนวัยหนุ่มสาวและวัยรุ่น และถูกเรียกว่าการประท้วงของคน Gen Z เช่นเดียวกับการประท้วงรัฐบาลที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ในประเทศเนปาลและอินโดนีเซีย และหนึ่งในสัญลักษณ์ของคนรุ่นใหม่ที่ถูกนำมาผูกโยง ก็คือ กลุ่มผู้ประท้วงได้นำธงจากการ์ตูนอะนิเมะญี่ปุ่นชื่อดัง วันพีซ มาใช้เป็นสัญลักษณ์ของการประท้วงด้วย


ก่อนจะมาถึงฟิลิปปินส์ การประท้วงของเจนซีก็เกิดขึ้นเช่นกัน ในประเทศเนปาล และรุนแรงในระดับประวัติศาสตร์ เริ่มจากการที่รัฐบาลแบนสื่อโซเชียล ส่วนปมสำคัญของการประท้วง คือ การล้มล้าง Nepo Kids ลูกหลานคนรวย ความเหลื่อมล้ำในสังคม  



ประท้วงเจนซี "เนปาล" 


เดือนกันยายน 2568  ประเทศเนปาลลุกเป็นไฟ จากเหตุการณ์ประท้วงอย่างรุนแรงที่นำโดยกลุ่มเยาวชนเจนซี หรือคนรุ่นใหม่ในประเทศ เหตุการณ์เริ่มต้นจากรัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี นายเค.พี. ชาร์มา โอรี  (K. P. Sharma Oli) ที่ได้สั่งแบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียในประเทศ 26 แพลตฟอร์ม รวมไปถึง Facebook และ Instagram โดยอ้างว่าผู้ให้บริการไม่ทำตามข้อกำหนดของกฎหมายใหม่ แต่ไปจุดชนวนให้เกิดการประท้วงทั่วประเทศ เพราะชาวเนปาลมองว่าเป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก โดยเฉพาะการวิจารณ์และต่อต้านรัฐบาล และเป็นการตอกย้ำว่ามีความทุจริต คอรัปชั่นในประเทศ และผู้มีอำนาจต้องการจะปิดบังเรื่องนี้เอาไว้ หรือปิดหูปิดตาประชาชน  


นอกจากนี้เจนซียังไม่พอสิ่งที่เรียกว่า "Nepo Kids" หรือลูกหลานนักการเมืองที่ร่ำรวย และนิยมอวดชีวิตที่หรูหรา ตรงข้ามกับประชาชนในประเทศที่เจอกับปัญหาปากท้อง โดยเฉพาะกลุ่มของคนเด็กรุ่นใหม่ที่เจอกับปัญหาการว่างงานในประเทศ ในระดับสูง มากกว่า 20% 


ขณะที่หน่วยงานท้องถิ่นหรือรัฐบาล ก็มักจะมีเด็กเส้น แต่งตั้งคนรู้จักหรือเครือญาติเข้าไปทำงาน  ส่วนคนธรรมดาต่อให้เข้าไปได้ก็มีโอกาสเติบโตที่มีจำกัด เพราะระบบเอื้อให้แต่คนมีเครือข่ายหรือเงินทุนมากกว่าความสามารถที่แท้จริง  รวมไปถึงปัญหาความยากจนที่มาตัดโอกาสการเข้าถึงการศึกษา


นอกจากนี้ยังมีปัญหาเงินเฟ้อ ค่าครองชีพ ราคาสินค้า อาหารพากันปรับตัวสูงขึ้น  ขณะที่ส่วนภาคเกษตรก็มีปัญหาหนัก จากภัยแล้ง โรคพืช และความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ทำให้รายได้ของประชาชนในชนบทไม่แน่นอน 


ที่สำคัญ อีกประเด็น คือ เศรษฐกิจของเนปาลมีการพึ่งพารายได้จากชาวเนปาลที่ไปทำงานต่างประเทศและส่งเงินกลับบ้านเป็นหลัก มากถึงหนึ่งในสามของ GDP มาจาก "remittances"  แต่ในช่วงเวลานี้เกิดข้อจำกัดหลายด้านนับตั้งแต่ยุคโควิด -19 เป็นต้นมา จากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง


เนปาล เป็นประเทศกลุ่มรายได้ต่ำถึงปานกลาย และมีที่ตั้งที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล อยู่บนแนวเทือกเขาหิมาลัย เป็นอุปสรรคสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจ และที่ผ่านมาโชคดีที่มีเทือกเขาหิมาลัย จึงสามารถสร้างรายได้จากภาคบริการมากถึง 55% จากรายได้ทั้งหมดของประเทศ แต่รายได้จากการเที่ยวปีนเขาก็เพียงแค่ 3 เดือนใน 1 ปีเท่านั้น 


ดังนั้นเมื่อไม่มีงานทำในประเทศ ประชากรที่มีทั้งหมด 30 ล้านคน โดยเฉพาะวัยแรงงานก็ต้องหาทางดิ้นรนออกไปค้าแรงงานในต่างประเทศ ส่วนคนที่ไม่มีทางไป ส่วนใหญ่ก็มักหางานทำไม่ได้  และเมื่อทุกอย่างหนักขึ้นเรื่อยๆ  ทั้งจากความอดยาก ความลำบากของผู้คน มาถึงการปิดหูปิดตาด้วยการปิดโซเชียล การประท้วงจึงระเบิดขึ้นในระดับที่เราคาดไม่ถึง 


การประท้วงของเนปาล หนักในระดับประวัติศาสตร์ กลายเป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลก มีการก่อจราจลปล้นห้าง เผาโรงแรมหรู บุกทำร้ายนักการเมือง แม้จะมีการระบุว่าส่วนหนึ่งมาจากมือที่สามที่เข้ามาแทรกแซง แต่ไม่อาจทำให้ภาพความรุนแรงลดลงไปได้  โดยเฉพาะกรณีของภรรยาของอดีตนายกฯ ที่ได้รับบาดเจ็บจากการถูกจุดไฟเผาบ้าน และยังมีรายงานผู้เสียชีวิตจากการประท้วงดังกล่าว และทั้งหมดนี้เป็นแรงกดดันขั้นสูงสุดที่ทำให้นายกรัฐมนตรี นายเค.พี. ชาร์มา โอรี  ต้องประกาศลาออก และมีการแต่งตั้งสุศีลา การกี (Sushila Karki) อดีตประธานศาลฎีกา เป็นนายกรัฐมนตรีรักษาการ ซึ่งถือเป็นผู้หญิงคนแรกที่เป็นหัวหน้าคณะรัฐบาลชั่วคราวในเนปาล ซึ่งล่าสุดได้ประกาศว่าจะขอนั่งเก้าอี้ผู้นำเพียงแค่ 6 เดือนเท่านั้น เพื่อเปิดทางให้มีการเลือกตั้งใหม่ 


อย่างไรก็ตามผลกระทบที่เกิดขึ้นหลังจากนี้เป็นโจทย์ใหญ่ของรัฐบาลเนปาลชุดใหม่ หลังจากเกิดความเสียหายอย่างหนักในประเทศ โดยเฉพาะฟื้นฟูเมืองในกลับมาจากการถูกเผาทำลาย เช่น สถานที่ราชการ ไปจนถึงห้างร้านเอกชน อาคารรัฐ อาคารของพรรคการเมือง มีการประเมินว่าความเสียหายรวมอาจสูงกว่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ


ขณะเดียวกันการประท้วงยังทำให้เกิดการหยุดชะงักของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และพื้นที่ธุรกิจถูกทำลาย กระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน หลายคนต้องตกงานทันทีจากการปิดธุรกิจต่างๆ  รวมไปถึงรายได้ที่สำคัญของประเทศ ก็คือ ภาคการท่องเที่ยว หลังมีข่าวการประท้วง มีการยกเลิกการเดินทางเข้าประเทศจำนวน และยังส่งผลต่อภาพลักษณ์ประเทศในอนาคต


และหมายความรัฐบาลต้องหาเงินหรือใช้งบประมาณจำนวนมหาศาลมาฟื้นฟูประเทศ และยังต้องเดินหน้าทำงานภายใต้แรงกดดันจากประชาชนเรื่องทุจริตคอรัปชัน และการล้มล้างระบบ Nepo Kids ท่ามกลางความเสี่ยงทางการคลังที่เนปาลก็ได้แบกหนี้สาธารณะเอาไว้เป็นจำนวนมากถึงระดับ 42.7% ของ GDP

ข่าวที่เกี่ยวข้อง