จับกระแสกลุ่มพลังงาน น้ำมันปิโตรเลียม-โรงกลั่น โบรกฯ แนะลงทุนเท่าตลาด
ทันหุ้น-สู้โควิด : บล.เอเชีย พลัส หรือ ASPS แนะนำลงทุน กลุ่มพลังงาน : น้ำมันปิโตรเลียมและโรงกลั่น "เท่าตลาด" ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยวันที่ 2 – 6 พ.ย. 63 เท่ากับ 39.74 เหรียญฯ/บาร์เรล ปรับตัวลดลง 0.8%wow ขณะที่ค่าการกลั่น (อ้างอิงตลาดสิงคโปร์Bloomberg) เฉลี่ยวันที่ วันที่ 2 – 6 พ.ย. 63 คงที่อยู่ที่ 0.6 เหรียญฯ/บาร์เรล
ราคาน้ำมันดิบ Dubai, เฉลี่ยปรับตัวลดลง 0.8%wow มาอยู่ที่ 39.74 เหรียญฯ/บาร์เรล ขณะที่ Nymex และ Brent เฉลี่ยปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.6%wow, และ 0.6%wow มาอยู่ที่ 37.71, และ 39.76 เหรียญฯ/บาร์เรล ตามลำดับ
ราคาน้ำมันดิบ (-/+)
ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยในสัปดาห์นี้ปิดปรับตัวลงเล็กน้อยที่ 0.8%wow กดดันจากความกังวลของการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำ มันโดยรวมลดลงโดยล่าสุด ยอดผู้ติดเชื้อทั่วโลกยังคงเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องถึง 48.5 ล้านราย และยอดผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 1.2 ล้านราย นอกจากนี้ผลการเลือกตั้งของสหรัฐฯ ยังคงเป็นประเด็นที่ต้องติดตามต่อไป เพราะอาจกดดันราคาน้ำมัน เนื่องจากนโยบายของนายโจ ไบเดน จะมีผลทำให้ปริมาณน้ำมันไหลเข้าสู่ตลาดโลกได้อีก 1.5-2 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากการยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรอิหร่าน รวมถึงแผนด้านพลังงานที่ให้ความสำคัญด้านพลังงานสะอาด อย่างไรก็ตามราคาน้ำมันดิบได้รับแรงหนุนจากสต็อกน้ำมันดิบสัปดาห์
ล่าสุดที่ปรับตัวลดลงถึง 8.0 ล้านบาร์เรล มาอยู่ที่ 484.4 ล้านบาร์เรล ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงเพียง 6 แสนบาร์เรล นอกจากนี้ ตลาดยังคาดการณ์ว่าจะมีการเลื่อนแผนการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันของกลุ่มโอเปกพลัส เนื่องจากความต้องการใช้น้ำมันปรับตัวลดลงตามภาวะเศรษฐกิจจากมาตรการล็อกดาวน์ในหลายๆประเทศ โดยกลุ่มโอเปกพลัสจะมีการจัดประชุมเพื่อกำหนดนโยบายการผลิตน้ำมันในวันที่ 30 พ.ย.- 1 ธ.ค. 2563
ค่าการกลั่นระยะสั้น (0)
ค่าการกลั่นเฉลี่ยสัปดาห์ที่ผ่านมายังคงที่อยู่ที่ 0.6 เหรียญฯ/บาร์เรล โดยราคาน้ำมันเบนซินเฉลี่ยปรับตัวลดลง 1.17 มาอยู่ที่ 42.76 เหรียญฯ/บาร์เรล และราคาน้ำมันดีเซลเฉลี่ยปรับตัวลดลง 0.03 มาอยู่ที่ 41.77 เหรียญฯ/บาร์เรล ใกล้เคียงกับการปรับตัวของราคาน้ำมันดิบ
คำแนะนำการลงทุน
ฝ่ายวิจัย ASPS ยังคงคาดราคาน้ำมันดิบอ้างอิงดูไบเฉลี่ยจะผันผวนในกรอบ 40-45 เหรียญฯ/บาร์เรล ช่วงที่เหลือของปี เนื่องจากยังมีปัจจัยกดดันจากเศรษฐกิจที่หดตัวตามผลกระทบของ COVID-19 รวมถึงนโยบายของผู้นำสหรัฐคนใหม่ด้านพลังงาน ทำให้ตลาดเข้าสู่ภาวะ risk off และเทขายสินทรัพย์เสี่ยงซึ่งรวมถึงน้ำมันดิบ อีกทั้ง การปรับลดกำลังการผลิตของกลุ่ม OPEC+ ได้เริ่มลดลงตามแผนเหลือ 7.7 ล้านบาร์เรล/วันในเดือน ส.ค.-ธ.ค. 2563 และ 5.8 ล้านบาร์เรล/วันในเดือน ม.ค. 2564 -เม.ย. 2565 จากปัจจุบันที่ลดอยู่ 9.7 ล้านบาร์เรล/วัน
ทั้งนี้ฝ่ายวิจัยยังคงสมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ 40 และ 45 เหรียญฯ/บาร์เรลสำหรับในปี 2563 และตั้งแต่ปี 2564 ตามลำดับ โดย sensitivity analysis ผลกระทบต่อการปรับตัวลงของราคาน้ำมันดิบระยะยาวทุกๆ 5 เหรียญฯ/บาร์เรล พบว่ากระทบ FV ของ PTT และ PTTEP ราว 2-3 บาท/หุ้น และ 10-12 บาท/หุ้น ตามลำดับ
สำหรับคำแนะนำหุ้นในกลุ่มน้ำมัน พบว่าราคาหุ้นในช่วงที่ผ่านมามีการปรับฐานจนเริ่มเห็น upside แนะนำให้หาจังหวะทยอยสะสม PTT (Buy: FV@B41) และ PTTEP (Buy:FV@95)
ส่วนกลุ่มโรงกลั่นและปิโตรเคมี เราแนะนำซื้อ PTTGC (Buy: FV@44) เนื่องจากให้น้ำหนักไปที่ธุรกิจปิโตรเคมีสายโอเลฟินส์ ที่จะเห็นการเติบโตได้อย่างต่อเนื่องในไตรมาส 4 ซึ่งเป็นช่วงฤดูกาล ส่วน TOP (Switch: FV@B40), BCP (Switch: FV@B21.2), และ IRPC (Switch: FV@B2.9) ราคาหุ้นช่วงที่ผ่านมาแม้จะผ่านการปรับฐานไปบ้างแล้ว แต่ upside ยังไม่จูงใจ เมื่อเทียบกับพื้นฐานโดยรวมที่ยังอ่อนแอจากธุรกิจโรงกลั่นตามค่าการกลั่นที่ยังอยู่ระดับต่ำมาก ซึ่งยังคงแนะนำ trading ช่วงสั้น