นโยบายท้าทาย “ลดค่าไฟ-สางหนี้ตรึงราคา”

ในเรื่องค่าไฟของไทย ที่ปรับสูงขึ้นจากในอดีตมาก เป็นผลจากต้นทุนเชื้อเพลิงสูงขึ้น รัฐบาลในอดีต พยายามดูแลค่าไฟไม่ให้สูงเกินไป มีข่าวดีว่า รัฐบาลชุดใหม่จะปรับลดค่าไฟลง
สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ระบุว่า แนวโน้มค่าไฟงวดแรกของปี 2569 (ม.ค.- เม.ย.) น่าจะลดลงได้อีกอย่างน้อย 4 สตางค์ต่อหน่วยจากงวดปัจจุบัน ที่ประชาชนต้องจ่ายอยู่ที่ 3.94 บาทต่อหน่วย
รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ให้ความมั่นใจว่า ค่าไฟในปีหน้าจะลดได้อย่างแน่นอน และขณะนี้ อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กำลังดูแนวทางอยู่ว่าจะสามารถทำอย่างไรได้บ้าง
ค่าไฟของไทยจะมีการปรับเปลี่ยนทุก 4 เดือน โดยจะมีการพิจารณาค่าไฟใหม่ จากต้นทุนการผลิตไฟฟ้า แนวโน้มราคาเชื้อเพลิงที่จะเกิดขึ้นในงวดนั้นๆ รวมถึงภาระหนี้ตรึงราคาที่ยังค้างอยู่ โดยช่วงต้นปีเป็นช่วงหน้าหนาว ตามปกติในไทยจะใช้ไฟไม่สูงเท่ากับหน้าร้อน ดังนั้นทางรัฐบาลมั่นใจว่า ค่าไฟจะมีโอกาสปรับลดลงได้บ้าง
อีกนโยบายต้องติดตาม “พลังงานสะอาด” ที่เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายสังคมคาร์บอนต่ำ และถูกบรรจุไว้ในนโยบายของรัฐบาลที่แถลงต่อสภาฯ โดยรัฐบาลมีแผนจะทำให้ไทยบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี พ.ศ. 2593 (ค.ศ. 2050) จะมีแผนทั้งการส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด ยานยนต์ไฟฟ้า(อีวี) และป้องกัน/ลดการเผาในภาคการเกษตรเพื่อลดปัญหาฝุ่นละออง PM2.5
ในประเด็นเรื่องค่าไฟ ทาง ดร.พูลพัฒน์ ลีสมบัติไพบูลย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ในฐานะโฆษกคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ซึ่งเป็นหน่วยงานพิจารณาค่าไฟ มีความเห็นไปในทิศทางเดียวกับรัฐบาลว่า ค่าไฟงวดใหม่มีแนวโน้มปรับลดลง เพราะถ้าดูราคาพลังงานในตลาดโลกทั้งราคาน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ (LNG) มีแนวโน้มลดลง
กกพ. ระบุว่า การพิจารณาเรื่องค่าไฟจะต้องดูปัจจัยหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจโลก ต้นทุนของราคาค่าไฟ และความจำเป็นของประชาชน แต่ถ้าดูเฉพาะราคาเชื้อเพลิงหลัก คือ LNG พบว่าราคาในตลาดโลกมีแนวโน้มปรับลดลง หลังจากที่โดนัลด์ ทรัมป์ เข้ามารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ก็มีการเร่งการผลิตก๊าซฯ เพิ่มขึ้น จึงทำให้ราคาปรับลดลงค่อนข้างมาก
ส่วนเรื่องหนี้ค่าไฟยังค้างจ่ายเกือบ 1 แสนล้านบาทนั้น สามารถบริหารจัดการได้หลายวิธีขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละช่วงเวลา เช่น การยืดชำระหนี้ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ออกไป แต่ก็คงต้องหารือกันอีกครั้งในช่วงเดือนพ.ย.-ธ.ค.ปีนี้ และสุดท้ายต้องดูว่า รมว. พลังงาน และรัฐบาลจะใช้วิธีการใด เพื่อลดค่าไฟ
พาไปดูแนวทางการทำงานของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานคนใหม่กันบ้าง
อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รมว.พลังงาน ระบุถึง นโยบายการทำงานในช่วงเวลา 4 เดือนว่า มีความตั้งใจที่จะเดินหน้าโครงการซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงการคลังที่ว่าด้วย "Quick Big Win"
1.โครงการโซลาร์ภาคประชาชน ถือเป็นโครงการที่สร้างรายได้ ลดรายจ่ายด้านพลังงาน ประกอบด้วย
- โซลาร์ฟาร์มชุมชน 1,500 เมกะวัตต์ ครอบคลุมกว่า 300 ชุมชน หรือ 15,000 ครัวเรือน ทั่วประเทศ
- โซลาร์สูบน้ำเพื่อการเกษตร มีเป้าหมายอนุมัติโครงการ 1,200 แห่ง ครอบคลุมพื้นที่กว่า 7 แสนไร่ทั่วประเทศ
- ผลักดันการใช้มาตรการลดหย่อนภาษีโซลาร์เซลล์ โดยลดหย่อนภาษีได้ 2 แสนบาท เพื่อกระตุ้นการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในครัวเรือน และตั้งเป้าไว้ 90,000 ครัวเรือน
- เร่งอนุมัติการผลิตไฟฟ้าจาก โซลาร์ลอยน้ำใน 3 เขื่อนหลักของการไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.) คือ เขื่อนภูมิพล เขื่อนวชิราลงกรณ์ เขื่อนศรีนครินทร์ กำลังการผลิตรวมกว่า 1,638 เมกะวัตต์
2.การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบพลังงานรองรับภาคอุตสาหกรรม ประกอบด้วย
- Direct PPA 2,000 เมกะวัตต์ เป็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้าสะอาดจากผู้ผลิตสู่ผู้ใช้ไฟฟ้าโดยตรง เพิ่มขีดความสามารในการแข่งขันของประเทศ และรองรับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เน้นไปยังกลุ่มดาต้าเซนเตอร์เป็นหลัก
- พัฒนาระบบไฟฟ้ารองรับอุตสาหกรรมเขตตะวันออก ด้วยการพัฒนาระบบการผลิต และระบบขนส่งไฟ้าในพื้นที่อีอีซี โดยใช้กรอบงบประมาณเดิม
- เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในภาคอุตสาหกรรม ผ่านกลไกกองทุนเพื่อการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน โดยตั้งใจเดินสายโปรโมตไปยังโรงงานต่างๆเพื่อให้เห็นความสำคัญของกองทุนนี้
3.สร้างความยั่งยืนระยะยาวรองรับ ซึ่งกระทรวงพลังงานจะเดินหน้าผลักดันและก้าวไปสู่ Net Zero 2050 ซึ่งในโครงการโซลาร์ประชาชน จะสามารถช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ได้กว่า 3.6 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี รวมถึงเร่งจัดทำแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้า (PDP) โดยทบทวนรายละเอียดแผน PDP ให้ตอบโจทย์กับเป้าหมายใหม่ Net Zero ให้เสร็จภายใน 4 เดือนนี้
รมว.พลังงาน ระบุต่อว่า ยังมีอีก 1 โครงการซึ่งเป็นโครงการใหญ่มาก และใน 4 เดือนนี้ตั้งใจจะนับหนึ่งให้ได้ก็คือ โครงการพัฒนาและดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CCS) ในอ่าวไทย ซึ่งมีศักยภาพการกับเก็บกว่า 7,000 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งโครงการนี้ลงทุนเป็นแสนล้านบาท ใช้เวลาเป็น 10 ปี และขณะนี้ไทยมีความร่วมมือกับประเทศญี่ปุ่นเข้ามาสำรวจพื้นที่กับเก็บใต้ทะเลตรงนี้ แต่การที่เอาเรือมาสำรวจยังมีปัญหามาก เพราะยังไม่มีกฎเกณฑ์รองรับ ดังนั้นในระหว่างดำรงตำแหน่งรมว.พลังงาน จะพยายามเดินหน้าเรื่องนี้อย่างเต็มที่
ในนโยบายของรัฐมนตรีพลังงานคนใหม่ มีการพูดถึงในเรื่องแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้า (Power Development Plan : PDP) ว่าจะเร่งผลักดันให้แล้วเสร็จใน 4 เดือน
ถือเป็นเรื่องที่ดีมาก เพราะแผนพีดีพี เป็นแผนแม่บทในการผลิตไฟฟ้าของประเทศ และจัดหาพลังงานไฟฟ้าในระยะยาว 15 -20 ปี แผนดังกล่าวจัดทำขึ้นเพื่อสร้างความมั่นคงและความเพียงพอของกำลังการผลิตไฟฟ้า โดยคำนึงนโยบาย พลังงานของประเทศและปัจจัยต่าง ๆ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม อาทิ การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ การกระจายการใช้เชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า กำลังผลิตไฟฟ้าสำรองที่เหมาะสม การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน นโยบายการพัฒนาพลังงานหมุนเวียน โดยปกติแผนพีดีพี จะมีการทบทวนเป็นระยะ ๆ หรือทุก 1 - 2 ปี เพื่อพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ ว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปจากสมมุติฐานเดิมหรือไม่ เพื่อจัดทำฉบับใหม่หรือฉบับปรับปรุง
“เดิมทีแผน PDP ฉบับใหม่ กำหนดกรอบเวลาแล้วเสร็จในปี 2568 แต่จากปัญหาทางการเมือง ทำให้แผนดังกล่าวล่าช้าออกไป หวังกันว่าจะแล้วเสร็จในปี 2569”
ผู้ประกอบการ อิศเรศ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ระบุว่า ความล่าช้าของ PDP ฉบับใหม่กระทบต่อผู้ประกอบการภาคพลังงานและภาคอุตสาหกรรมโดยตรง เพราะถือเป็นกรอบการตัดสินใจด้านไฟฟ้าและพลังงาน รวมถึงการจัดหากำลังไฟฟ้าให้เพียงพอกับความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว การไม่มีแผนที่ชัดเจนอาจทำให้เกิดความไม่แน่นอนด้านต้นทุนและการจัดหาไฟฟ้า และอาจส่งผลกระทบต่อประชาชน ทำให้ค่าไฟฟ้าสูงขึ้น
อีกประเด็นที่ต้องติดตาม คือ การบริหารจัดการหนี้จากการตรึงราคาพลังงาน ทั้งไฟฟ้า และน้ำมัน
หนี้จากการตรึงราคาค่าไฟฟ้ายังเหลือยู่กว่า 81,000 ล้านบาท แบ่งเป็นหนี้ที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) ช่วยแบกรับภาระเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าไว้ 66,000 ล้านบาท และหนี้ที่บริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) แบกรับภาระค่าก๊าซฯ ที่เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าไว้ก่อน 15,000 ล้านบาท โดยหนี้ดังกล่าวต้องพิจารณาทยอยคืนในค่าไฟงวดถัดๆ ไป บางงวดสามารถคืนได้หลักพันล้านบาท แต่บางงวดที่ต้นทุนค่าไฟสูงขึ้นทั้ง 2 หน่วยงานต้องแบกรับภาระดังกล่าวไว้ก่อน
ส่วนหนี้น้ำมัน ล่าสุดยังเหลือภาระหนี้ต้องจัดการกว่า 73,000 ล้านบาท จากก่อนหน้านี้การตรึงราคาน้ำมันเคยใช้เงินตรึงราคาไปกว่า 150,000 ล้านบาท หนี้ที่ยังเหลืออยู่แบ่งเป็นหนี้จากการกู้ยืมสถาบันการเงิน 52,000 ล้านบาท และกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงยังมีสถานะติดลบกว่า 21,000 ล้านบาท
มีข่าวดีว่า ขณะนี้กองทุนน้ำมันฯ มีรายรับเข้ามา 6,000 ล้านบาทต่อเดือน ถ้าหากราคาน้ำมันไม่สูงกว่านี้อีกในไม่ช้ากองทุนน้ำมันกลับมามีสถานะเป็นบวกได้
จากนี้คงต้องรอดูนโยบายการตรึงราคาก๊าซหุงต้ม (LPG) ว่ารัฐมนตรีพลังงานคนใหม่จะเดินหน้าอย่างไร เพราะขณะนี้กองทุนน้ำมันมีสภานะติดลบจากการตรึงราคาก๊าซหุงต้มกว่า 42,000 ล้านบาท
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) มีมติเห็นชอบขยายเวลาตรึงราคาจำหน่ายก๊าซ LPG อยู่ที่ 423 บาทต่อถังขนาด 15 กิโลกรัม ออกไปอีก 1 เดือน จนถึงวันที่ 31 ต.ค. 2568 จากมาตรการเดิมหมดอายุวันที่ 30 ก.ย. 2568 เพื่อบรรเทาภาระค่าครองชีพให้แก่ประชาชน
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
