รีเซต

ORI กองทุนแห่พบ ยีลด์ดี-โตฝ่าวิกฤต

ORI กองทุนแห่พบ ยีลด์ดี-โตฝ่าวิกฤต
ทันหุ้น
19 ตุลาคม 2563 ( 07:45 )
79
ORI กองทุนแห่พบ ยีลด์ดี-โตฝ่าวิกฤต

ทันหุ้น-สู้โควิด-ORIรับกองทุนแห่พบ หลังพิสูจน์ให้เห็นชัด ยอดขายโตแรงสวนวิกฤติ แถมมียิลด์ปันผล 5-6% จูงใจ เผยเหตุยอดพรีเซลพุ่ง 9 เดือนแตะ 1.9 หมื่นล้านบาท เตรียมขยับเป้าเพิ่มสูงกว่า 2.1 หมื่นล้านบาท แถมอัตรากำไรสุทธิกลับเพิ่มขึ้น ชี้ไตรมาส4เป็นจุดพีค เปิด12โครงการ1.4หมื่นล้านบาท โบรกให้เป้า 9.70 บาท

 

นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน)หรือ ORI เปิดเผยว่า เร็วๆนี้ได้มีการโรดโชว์พูดคุยกับกองทุนขนาดใหญ่ในประเทศ 4 กองทุนที่ติดต่อเข้ามา เนื่องจากกองทุนเห็นว่าในภาวะเช่นนี้ ต้องการหุ้นที่มีผลตอบแทนจากปันผลที่ดี ขณะเดียวกันบริษัทยังเป็นหนึ่งในอสังหาริมทรัพย์เพียงไม่กี่รายที่ยังสามารถเติบโตและทำกำไรได้ ท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้

 

สิ่งที่น่าสนใจก็คือ ยอดพรีเซลของบริษัทในปีนี้สามารถขายได้ในช่วง 9 เดือนแรกปี 2563 (ม.ค.-ก.ย.2563) สูงถึงกว่า 19,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 88% ของเป้ายอดขายทั้งปี 21,500ล้านบาท ทำให้คาดว่าทั้งปียอดขายจะทำได้มากกว่าเป้าได้เป็นจำนวนมาก

 

โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้บริษัทมีการเปิดโครงการสูงถึง 12 โครงการ มูลค่ากว่า 14,000 ล้านบาท โดยเป็นโครงการคอนโดมิเนียมแบรนด์ ดิ ออริจิ้น (The Origin) 3 โครงการ ,คอนโดมิเนียมแบรนด์ ไนท์บริดจ์ (KnightsBridge) 1 โครงการ,โครงการคอนโดมิเนียมแบรนด์ใหม่ในพื้นที่ EEC ภายใต้ชื่อ แฮมป์ตัน ศรีราชา (Hampton Siracha) 1 โครงการ , โครงการ SOHO BANGKOK Siracha 1 โครงการ

 

@ปมยอดขายดี-อัตรากำไรสูง

 

นายพีระพงษ์ระบุว่าที่ผ่านมาการเปิดโครงการคอนโดมีเนียมของบริษัทที่ผ่านมาประสบความสำเร็จมากในปีนี้ โดยโครงการ ดิ ออริจิ้น อ่อนนุช ขายวันเดียวหมด ขณะที่โครงการไนท์บริดจ์ พระราม 4 มียอดพรีเซล 80% แล้ว ส่วนสาเหตุที่ขายได้ดี เนื่องจากบริษัทดำเนินการตรวจสอบดีมานด์ตั้งแต่ก่อนซื้อที่ดินซึ่งเป็นเรื่องของประสบการณ์ ประกอบกับ กลยุทธ์ที่ดำเนินการมาโดยตลอด นั้นคือเน้นไปเป็นผู้แรกในแนวรถไฟฟ้าใหม่ ซึ่งเป็นตลาดบลู โอเชียน แต่ถ้าเป็นพื้นที่แข่งขันอยู่แล้วต้องมีความแตกต่าง

 

ส่วนกลยุทธ์การแข่งขันท่ามกลางสงครามราคานั้นบริษัทอยู่ในจุดกึ่งกลาง ทั้งการลดราคาสำหรับโครงการที่ใกล้ปิด โดยในสิทธิลูกค้าเดิมก่อน แต่ก็มีส่วนอื่นที่เข้ามาทดแทนการลดราคาเช่น การจัดห้องให้เหมือนห้องตัวอย่าง การผ่อนให้ เป็นต้น ส่งผลให้ปัจจุบันบริษัทเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่มียอดรอโอน (แบ็คล็อก) สูงมากถึง 40,000 ล้านบาทซึ่งนับว่าปลอดภัยในช่วง 3 ปีข้างหน้า  นอกจากนี้สถาการณ์โควิดบริษัทยังมีศักยภาพในด้านการเปิดโครงการแนวราบจาก 6 พันล้านบาทปีก่อนมาปีนนี้โตเป็น 2 เท่า คือ 12,000 ล้านบาท

 

ขณะที่รายได้ประเมินว่าในช่วงไตรมาส 4 จะโดดเด่นที่สุด เนื่องจากมีโครงการรอโอนจำนวนมาก ซึ่งบริษัทไม่มีปัญหาด้านการโอนแต่อย่างไร อาจจะมียอดการปฏิเสธสินเชื่อเพิ่มขึ้นมาบ้างมาที่ระดับ 12-15% แต่ก็ยังต่ำกว่าตลาดที่อยู่ระดับ 30%ส่วนยูนิตที่มีปัญหาการโอนก็มีผู้ที่เข้ามาทดแทนค่อนข้างเร็ว

 

ในด้านอัตรากำไรขั้นต้นอาจจะลดลงบ้างจาก 40% มาอยู่ที่ 35% แต่หากพิจารณาถึงอัตรากำไรสุทธิของบริษัทกลับปรับตัวเพิ่มขึ้นแตะ 20-22% ซึ่งนั้นหมายความว่าบริษัทมีประสิทธิภาพในการบริหารค่าใช้จ่าย

 

ทั้งนี้เป้ายอดโอนโครงการทั้งปีคาดว่าจะทำได้ตามเป้าที่ 14,000 ล้านบาท จากนี้ ส่วนสต็อกพร้อมขายบริษัทมีโครงการมูลค่าราว 7,000 ล้านบาท ขณะที่เป้ารายได้รวมบริษัทยังคงเป้าที่ 16,000 ล้านบาท

 

“บริษัทได้เริ่มกลับมาดันยอดขายจากต่างประเทศ โดยได้มีการเข้าไปขายโครงการในฮ่องกง สำหรับโครงการไนท์บริดจ์ สเปซ สุขุมวิท-พระราม4 มูลค่าโครงการกว่า 2,000 ล้านบาท  ซึ่งขณะนี้ทำยอดขายไปได้แล้ว 500 ล้านบาท สำหรับฮ่องกง ส่วนในไทยทำยอดขายไปแล้วประมาณ 1,300 ล้านบาท โดยมีปัจจัยบวกสำหรับ เรื่องของ สมาร์ทวีซ่า (SMART Visa) ที่จะผ่อนคลายให้ชาวต่างชาติมาอาศัยคอนโดมิเนียม ได้ ราว 5-10 ปี”

 

@ ยิลด์ปันผลสูง

 

นายพีระพงศ์ ระบุด้วยว่า บริษัทยังคงเดินหน้าในการปันผลอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากบริษัทมีความแข็งแกร่งด้านการเงินอยู่แล้ว ที่ผ่านมาได้มีการใช้เงินสดคืนหนี้หุ้นกู้ไปแล้ว ทำให้บริษัทมีศักยภาพในการปันผลได้ โดยบริษัทเพิ่งปันผลครึ่งหลังปี 2562 ไปในช่วงเดือนกันยายน และเตรียมที่จะปันผลกลางปีนี้อีก ซึ่งจากราคาหุ้นปัจจุบันมียีลด์ปันผลราว 5-6%

 

“ธุรกิจของบริษัทถือว่ามีความแข็งแกร่ง มีการกระจายความเสี่ยงของธุรกิจ มีฐานะการเงินที่ดี ต้นทุนทางการเงินอยู่ในระดับต่ำเพียง 3.6% และยังมีอัตราการจ่ายปันผลที่ดีต่อเนื่อง”

 

ส่วนบริษัท พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น จำกัด ในเครือ ORI ทำธุรกิจการให้บริการอสังหาแบบครบวงจร เช่น บริการทำความสะอาด รวมไปถึงในอนาคตจะมีบริการด้านอาหาร ซึ่งเป็นบริษัทที่จะช่วยให้ลูกค้าเกิดความสะดวกสะบายมากที่สุด ทั้งนี้บริษัทย่อยดังกล่าวอยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ปีหน้า โดยปีนี้คาดว่าจะมีรายได้ราว 300 ล้านบาท และคาดว่าปีหน้าผลการดำเนินการจะเติบโตต่อเนื่อง

 

บริษัท หลักทรัพย์เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุถึง ORI ว่า คงคำแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 9.70 บาท อิง 2564  PER ที่ 7.8 เท่า (5-yr average PER) จากแนวโน้ม presales ที่ดีขึ้นต่อเนื่อง และแนวโน้มกำไรที่กลับสู่ขาขึ้นแล้ว โดยเบื้องต้นประเมินกำไรปกติ ไตรมาส 3/2563 จะทำได้ราว 700-800 ล้านบาท (กำไรปกติไตรมาส 3/2562 = 652 ล้านบาท, ไตรมาส 2/2563  = 707 ล้านบาท) แนวโน้มจะเติบโตทั้ง ช่วงเดียวกันปีก่อน และ ไตรมาสก่อนหน้า ทั้งนี้ ประเมินกำไรสุทธิปี 2563 ที่ 2.7 พันล้านบาท 11%ส่วนกำไรปกติจะอยู่ที่ 2.5 พันล้านบาท ลดลง 2%ซึ่งดีกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มที่ปรับตัวลง ลดลง 30% สำหรับปี 2564 กำไรปกติจะกลับมาเติบโตเป็น 3.1 พันล้านบาท เติบโต 22% จากช่วงเดียวกันปีก่อนโดยมีจุดเด่นจาก backlog ที่รอโอนครอบคลุมรายได้ปี 2563-2564 ที่สูงมากกว่า 92% และ 64% ตามลำดับ

 

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง