รีเซต

ถอดบทเรียนธุรกิจร้านอาหาร ไม่ร่วม "คนละครึ่ง" ยอดลด 41% ร้านจด VAT วอนรัฐอย่ามองข้าม

ถอดบทเรียนธุรกิจร้านอาหาร ไม่ร่วม "คนละครึ่ง" ยอดลด 41% ร้านจด VAT วอนรัฐอย่ามองข้าม
TNN ช่อง16
26 กันยายน 2568 ( 10:30 )
9

ธุรกิจร้านอาหารไทยในปี 2568 เผชิญความท้าทาย ด้วยภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน ประกอบกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ธุรกิจร้านอาหารได้รับผลกระทบ ข้อมูลจากสมาคมภัตตาคารไทยเผยว่าภาพรวมของธุรกิจร้านอาหารในปี 68 ยอดขายเติบโต เพียงร้อยละ 2.8 จากเดิมคาดการณ์ว่าจะเติบโตประมาณร้อยละ 4.6

โครงการ “คนละครึ่งพลัส” ของรัฐบาลภายใต้การนำของ นายอนุทิน ชาญวีรกูลจึงกลายเป็นความหวังให้ช่วยกระตุ้นกำลังซื้อและสร้างสภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจ เหมือนที่เคยประสบความสำเร็จมาแล้วในรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา 


นางฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย มองว่าโครงการคนละครึ่งพลัสเป็นความหวังที่จะช่วย เพิ่มยอดขายให้กับร้านอาหารต่าง ๆ แต่การจะช่วยกระตุ้นเม็ดเงินให้ทั่วถึงกับภาคธุรกิจร้านอาหาร ที่เป็นหนึ่งในเส้นเลือดใหญ่ของประเทศไทย อาจต้องมีการปรับมาตรการให้ร้านอาหารทุกประเภทสามารถเช้าร่วมโครงการได้ 

โดยเฉพาะร้านอาหารที่จดทะเบียนนิติบุคคล รวมถึง ร้านค้าที่จดทะเบียนเสียภาษีมูลค่าเพิ่มหรือ VAT เข้าร่วมด้วย เพื่อเปิดกว้างให้ภาคธุรกิจทุกขนาดสามารถเข้าร่วมและรับประโยชน์จากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะที่ผ่านมาผู้ประกอบการที่จดทะเบียนนิติบุคคล กลับได้รับผลกระทบ เนื่องจากไม่สามารถเข้าร่วมโครงการได้ และส่งผลทำให้ยอดขายลดลงในช่วงโครงการคนละครึ่ง 1.0  ในรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ 


ข้อมูลจากสมาคมภัตตาคารไทยสอดคล้องกับข้อมูลของรองศาสตราจารย์ ดร.อธิภัทร มุทิตาเจริญ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้ทำวิจัย 2 ชิ้น เกี่ยวกับผลกระทบจากโครงการคนละครึ่ง ทั้งในส่วนของผลกระทบต่อการกระตุ้นการบริโภค และผลกระทบต่อร้านค้ารายเล็ก และรายย่อย


โดยงานวิจัย 2 ชิ้นนี้พบว่าโครงการคนละครึ่งในยุคพล.อ.ประยุทธ์ ช่วยดันยอดขายร้านค้ารายย่อยพุ่งถึง 174% และยังช่วยสร้างฐานลูกค้าใหม่ให้กับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ 

แต่สำหรับร้านค้าที่ไม่ร่วมโครงการกลับได้รับผลกระทบ เพราะผู้บริโภคลดการใช้จ่ายนอกโครงการถึง 41%

จึงมองได้ว่าโครงการคนละครึ่ง เวอร์ชันเก่า อาจไม่คุ้มค่ากับงบประมาณในแง่กระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะคนแค่เปลี่ยนที่จ่าย ไม่ได้จ่ายเพิ่ม ทำให้ทุก 1 บาทที่รัฐลงทุน สร้างการบริโภคใหม่เพียง 0.4 บาทเท่านั้น

แล้วร้านค้าที่ติดเงื่อนไขไม่สามารถเข้าร่วมโครงการ หากยังใช้เงื่อนไขเดิมคืออนุญาตเฉพาะร้านค้ารายย่อย ที่ไม่ได้จดทะเบียนนิติบุคคล จะมีผู้เสียโอกาสมากแค่ไหน? 


จากข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ พบว่าปัจจุบันมีธุรกิจที่จดทะเบียนนิติบุคคลรวมทั้งสิ้น 2,008,668 ราย โดยนิติบุคคลดำเนินกิจการอยู่ 959,099 ราย (ข้อมูล ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2568)  

แต่ถ้าหากนับเฉพาะธุรกิจร้านอาหารพบว่าไทยมีนิติบุคคลดำเนินธุรกิจร้านอาหารอยู่ 24,555 ราย  ( ข้อมูล ณ วันที่ 31 มีนาคม 2568)  ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจขนาดเล็ก 97.44% (23,926 ราย) โดยมีการจัดตั้งในรูปแบบบริษัทจำกัดมากที่สุด 89.10% (21,879 ราย) ห้างหุ้นส่วนสามัญ/ห้างหุ้นส่วนจำกัด 10.86% (2,667 ราย) และบริษัทมหาชนจำกัด 0.04% (9 ราย)

 ส่วนจังหวัดที่มีการประกอบธุรกิจร้านอาหาร 5 อันดับแรกอยู่ในพื้นที่หัวเมืองใหญ่และเมืองท่องเที่ยวหลัก ได้แก่ กรุงเทพมหานคร 9,710 ราย (39.54%) ชลบุรี 2,693 ราย (10.97%) ภูเก็ต 1,936 ราย (7.88%) เชียงใหม่ 1,504 ราย (6.13%) และสุราษฎร์ธานี 1,411 ราย (5.75%) ตามลำดับ

 จากตัวเลขจะเห็นว่าผู้ประกอบการร้านอาหารที่เป็นนิติบุคคลที่มีจำนวนกว่า 24,000 ราย ถือเป็นฟันเฟืองสำคัญในระบบเศรษฐกิจที่ไม่ควรถูกทิ้งไว้ข้างหลัง เพราะเป็นทั้งผู้เสียภาษีในระบบ ทำให้เกิดการจ้างงาน ส่งผลต่อการหมุนเวียนเงินในระบบอย่างต่อเนื่อง ขณะที่รัฐเองก็ยังรับรายได้จากภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ Vat จากการขายสินค้าของร้านค้ากลุ่มนี้  

“คนละครึ่งพลัส” จึงไม่ควรเป็นเพียงมาตรการช่วยร้านเล็กเท่านั้น แต่ควรเป็น เครื่องมือทางเศรษฐกิจที่สร้างความเข้มแข็งให้ทุกกลุ่มธุรกิจ เพื่อให้การลงทุนของรัฐคุ้มค่ากับการฟื้นฟูเศรษฐกิจในระยะยาว

ข่าวที่เกี่ยวข้อง