รีเซต

SCCเป้าอีบิทดา5.4หมื่นล. มองน้ำมันลงดันกำไร

SCCเป้าอีบิทดา5.4หมื่นล. มองน้ำมันลงดันกำไร
ทันหุ้น
31 มกราคม 2568 ( 11:17 )
5

#SCC #ทันหุ้น - SCC เล็งรายได้ปี 2568 โต 3-5% พร้อมเป้า EBITDA กระแสเงินสดดำเนินงานมากกว่า 5.4 หมื่นล้านบาท ลงทุนกว่า 3.5 หมื่นล้านบาท โดยหลักอยู่ในธุรกิจปิโตรเคมี มองสเปรดพ้นจุดต่้ำสุดไปแล้ว หวังน้ำมันปีนี้ปรับลงดันกำไรสูงขึ้นภายใต้วัฏจักรทรงตัว พร้อมมั่นใจโครงการอีเทนทำเม็ดพลาสติกแทนแนฟทาช่วยผลงานแกร่งระยะยาว

 

นายธรรมศักดิ์  เศรษฐอุดม  กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) หรือ SCC ผู้ประกอบธุรกิจการลงทุนใน 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ธุรกิจเคมิคอลส์ และธุรกิจแพ็กเกจจิ้ง เปิดเผยว่า บริษัทประเมินรายได้ปี 2568 จะขยายตัว 3-5% และปี 2569 จะขยายตัวต่อเช่นกัน หลังจากปี 2567 บริษัทมีรายได้จากการขาย 511,172 ล้านบาท สามารถบริหารกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน หรือ EBITDA เท่ากับ 53,946 ล้านบาท

 

พร้อมกันนี้ประเมิน EBITDA จะดีขึ้นอีกในปี 2568 ตั้งเป้าหมายว่ากระแสเงินสดในปีนี้จะต้องมากกว่า 54,000 ล้านบาท ด้วยปัจจัยสนับสนุนจากราคาน้ำมันมีแนวโน้มลดลงและมีการกระตุ้นเศรษฐกิจจากประเทศจีน ส่งผลดีต่อธุรกิจปิโตรเคมี การเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐในประเทศไทยคาดว่าจะเป็นไปอย่างต่อเนื่องงานโครงการจากภาครัฐแนวโน้มเพิ่มขึ้นส่งผลดีต่อธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับซีเมนต์และการก่อสร้าง การเติบโตในภูมิภาคยังคงเป็นไปอย่างต่อเนื่อง สนับสนุนจากการใช้จ่ายของรัฐบาล โดยเฉพาะในประเทศเวียดนามและอินโดนีเซีย

 

อีกทั้งบริษัทได้ให้ความสำคัญการบริหารจัดการภายใน มาตรการลดต้นทุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ รวมถึงการเร่งแผนการดำเนินงานที่สำคัญต่างๆ ตามโอกาสทางธุรกิจ

 

@ปีนี้ลงทุนกว่า 3.5 หมื่นล้าน

 

บริษัทคาดการณ์รายจ่ายลงทุนและเงินลงทุน (CAPEX) สำหรับปี 2568 อยู่ที่ประมาณ 30,000-35,000 ล้านบาท โดยหลักเป็นการลงทุนในธุรกิจปิโตรเคมี เช่น บำรุงรักษาเครื่องจักรและอุปกรณ์ การปรับปรุงโรงงาน โครงการก๊าซอีเทน เป็นต้น และในปีนี้บริษัทมีงบเฉพาะลงทุนโครงการ Long Son Petrochemicals หรือ LSP อีกราว 6,000 ล้านบาท

 

ด้านงบลงทุนรวมปีก่อนอยู่ที่ 55,000 ล้านบาท ซึ่งรวมดีลของบริษัทย่อยที่เข้าซื้อหุ้น Fajar จาก PT Intercipta Sempana เพิ่มมูลค่า 23,000 ล้านบาท

 

ขณะที่บริษัทยังเดินหน้าบริหารจัดการธุรกิจที่ไม่ทำกำไร โดยมีการเลิกกิจการบางส่วนไปแล้ว และยังมีการทบทวนธุรกิจที่ไม่ทำกำไรอย่างต่อเนื่อง 

 

@มองสเปรดพ้นจุดต่้ำสุด

 

สำหรับทิศทางธุรกิจปิโตรเคมีหลังจากในช่วงที่ผ่านมาเผชิญกับสภาวะอุปทานส่วนเกิน มีความผันผวนของราคา ซึ่งไตรมาส 4/2568 สเปรดแคบลง มีกำไรระดับต่ำ แต่ไตรมาส 1 และ 2 ของปีนี้ แม้คาดว่าสเปรดจะยังไม่ดีขึ้นมากนัก เนื่องจากกำลังการผลิตใหม่ยังคงเข้ามาอย่างต่อเนื่อง แต่มั่นใจจุดต่ำสุดผ่านไปแล้ว 

 

และหากราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติเริ่มปรับลงได้จริงตามคาดการณ์ในปีนี้ ก็จะทำให้ภาพรวมกำไรธุรกิจปิโตรเคมีดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมาชัดเจนภายใต้วัฏจักรปิโตรเคมีที่ทรงตัว

 

ผนวกกับบริษัทคาดหวังโครงการเพิ่มวัตถุดิบก๊าซอีเทน ที่ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันระยะยาว โดยได้ทำสัญญาจัดหาวัตถุดิบก๊าซอีเทนในระยะยาวเป็นผลสำเร็จ ประมาณ 1 ล้านตันต่อปี เป็นระยะเวลา 15 ปี และเช่าเหมาเรือขนส่ง ก๊าซอีเทนระยะยาวอีก 3 ลำ ทั้งนี้บริษัทจะเร่งจัดหาเรือในส่วนที่เหลืออีก 2 ลำ พร้อมทั้งสร้างถังเก็บและปรับปรุงโรงงาน ให้พร้อมรับก๊าซ อีเทนให้ได้ภายในปี 2570 

 

จุดได้เปรียบของการใช้ก๊าซอีเทนมาทำเป็นเม็ดพลาสติกคือ ความผันผวนด้านราคาต่ำ ต้นทุนถูกกว่าแนฟทา เป็นมิตรสิ่งแวดล้อมมากกว่า และคุณสมบัติใช้งานถือว่าไม่ต่างกับเม็ดพลาสติกมาตรฐานที่ทำจากวัตถุดิบตั้งต้นอื่นๆ

 

@รุกขยายตลาดใหม่

 

บริษัทยังจะรุกขยายตลาดส่งออกใหม่ๆ ที่มีศักยภาพ เช่น อเมริกาเหนือ ออสเตรเลีย โดย เอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชันส์ เร่งดันปูนคาร์บอนต่ำ คาดว่าปีนี้จะมียอดส่งออกได้อีกประมาณ 1 ล้านตัน 

 

ด้าน เอสซีจี เดคคอร์ ส่งออกกระเบื้อง X- PORCELAIN ความแข็งแรงสูง ได้ผลตอบรับดี ตั้งเป้าการส่งออกเติบโต 2 เท่าในปีนี้ ขณะที่ เอสซีจีพี ส่งออกบรรจุภัณฑ์พอลิเมอร์ บรรจุภัณฑ์อาหาร และกระดาษพิมพ์เขียน มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องเช่นกัน

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง