สธ.เดินหน้าตามแผน ปรับโควิด-19 สู่โรคติดต่อเฝ้าระวัง 1 ต.ค.นี้
กระทรวงสาธารณสุข เผย สถานการณ์โควิด-19 ภาพรวมแนวโน้มลดลง มีเพียงบางจังหวัดที่ยังพบการระบาดเป็นกลุ่มก้อนขนาดเล็ก ซึ่งการปรับโควิด-19 สู่โรคติดต่อเฝ้าระวังที่จะเริ่ม 1 ตุลาคมนั้น ยังเป็นไปตามแผน ขณะเดียวกันหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังต้องรายงานจำนวนผู้ติดเชื้อมายังกรมควบคุมโรคเพื่อวิเคราะห์สถานการณ์และการระบาดอยู่
วันนี้ (28 ส.ค.65) นพ.จักรรัฐ วงศ์พิทยาอานนท์ ผู้อำนวยการกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยถึงสถานการณ์โควิด-19 ในช่วงนี้ว่า ภาพรวมทั้งประเทศ อัตราการติดเชื้อแนวโน้มลดลงและทรงตัวแล้ว มีเพียงบางจังหวัดที่พบการระบาดเป็นกลุ่มก้อนเล็ก หากดูอัตราผู้เสียชีวิต ก็ยังคงเป็นกลุ่มเดิมอยู่ คือ 608 กลุ่มผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัวร่วม บางส่วนยังพบว่ายังไม่ได้รับวัคซีนโควิด- 19
โดยสถานการณ์โควิดตอนนี้ จะเห็นว่าหลังจากมีการผ่อนคลายมาตรการต่างๆ ประชาชนก็กลับมาใช้ชีวิตตามปกติกันแล้ว ซึ่งการปรับโควิด-19 สู่โรคติดต่อเฝ้าระวังที่จะเริ่ม 1 ตุลาคมนั้นก็เป็นไปตามแผน ตอนนี้สถานการณ์ไม่น่าห่วงอะไร
หากโควิด-19 เป็นโรคติดต่อเฝ้าระวัง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังต้องรายงานจำนวนผู้ติดเชื้อมายังกรมควบคุมโรค เพื่อวิเคราะห์แนวโน้มการระบาดและมาตรการรับมือ ส่วนต้องฉีดวัคซีนทุกปีเหมือนกับวัคซีนไข้หวัดใหญ่หรือไม่ ต้องติดตามสถานการณ์ระบาด รวมทั้งปัจจัยเรื่องเชื้อกลายพันธุ์ด้วย
ขณะที่ วัคซีนไฟเซอร์สำหรับเด็กเล็ก อย.อนุมัติตามที่ไฟเซอร์ได้ยื่นเรื่องขอขึ้นทะเบียนวัคซีนป้องกันโควิด-19 สูตรสำหรับเด็กอายุ 6 เดือน - 5 ขวบ ฝาสีม่วงแดงจะฉีดขนาด 3 ไมโครกรัม ทั้งหมด 3 เข็ม
เบื้องต้นในเด็กเล็ก คาดว่าจะเป็นการฉีดวัคซีนโควิดในสถานพยาบาล ตอนนี้อยู่ระหว่างแก้ไขรายละเอียดสัญญาที่ทำไว้กับบริษัท ในการปรับนำเข้าวัคซีนไฟเซอร์ฝาสีม่วงแดงในโควต้าเดิมที่ทำไว้ ซึ่งจะต้องนำเข้า ครม. เพื่อพิจารณาการเปลี่ยนสัญญาก่อน คาดว่าจะได้วัคซีนไฟเซอร์สำหรับเด็กเล็กเร็วๆ นี้
ขณะที่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เคยให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวถึงประเด็น การลดระดับโควิด-19เป็นโรคติดต่อที่เฝ้าระวัง ว่า ถึงแม้จะปรับโควิด จากโรคติดต่ออันตรายเป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง แต่ไม่ใช่โรคประจำถิ่น ทุกอย่างขึ้นกับคำนิยาม แต่ต้องย้ำว่า ยังเฝ้าระวัง มีระบบรองรับทางการแพทย์เช่นเดิม และเรื่องนี้ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อประชาชน ยังรับบริการการรักษาได้เช่นเดิม
ส่วนเรื่องการสวมหน้ากากอนามัย นายอนุทิน ระบุว่า ผู้นำต่างประเทศได้ชื่นชมประเทศไทยที่ยังให้ความร่วมมือใส่หน้ากากอนามัย ซึ่งการใส่หน้ากากอนามัยในประเทศไทย ไม่ได้มีการบังคับ แต่ให้ประชาชนพิจารณาตามความเสี่ยงของตนเอง
ส่วนการแสดงผลวัคซีนโควิดกรณีเดินทางไปต่างปราเทศนั้น นายอนุทิน เห็นว่า หากเรามีผลฉีดวัคซีนโควิดครบ ไม่ว่าจะเป็นแบบรูปเล่ม หรือในหมอพร้อม ก็ไม่เสียหายอะไรที่ติดตัวไปหากมีการเรียกตรวจ ส่วนของไทยขณะนี้ยังต้องแสดงผลการฉีดวัคซีนโควิดอยู่ แต่หากมีการเปลี่ยนมาตรการต้องรอการพิจารณาอีกครั้ง.
ภาพจาก TNN ONLINE