K WEALTH แนะกลยุทธ์ลงทุนเอาชนะเงินเฟ้อ
นายวีระพล บดีรัฐ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายพัฒนาการให้คำปรึกษาลูกค้า และ K WEALTH GURU ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ภาวะเงินเฟ้อของไทยสูงถึง 5.3% ซึ่งสูงที่สุดในรอบ 13 ปี ส่งผลกระทบโดยตรงต่อเงินในกระเป๋าผู้บริโภคมีค่าลดลง รายได้โตไม่ทันรายจ่าย ฝั่งธุรกิจต่างๆ มีสัดส่วนกำไรลดลง เพราะไม่สามารถขึ้นราคาตามต้นทุนได้รวดเร็วเพียงพอที่จะชดเชยต้นทุนที่สูงขึ้นได้ทั้งหมด โดยเฉพาะธุรกิจปลายน้ำที่อยู่ใกล้ผู้บริโภค
สาเหตุหลักของเงินเฟ้อในรอบนี้เกิดจาก
1) กำลังการผลิตมีไม่เพียงพอต่อความต้องการในตลาด เนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้โรงงานหลายแห่งปิดชั่วคราว ขณะที่ความต้องการซื้อสินค้าและบริการมีเพิ่มขึ้นจากการเปิดเมือง เศรษฐกิจเริ่มทยอยฟื้นตัว
2) ต้นทุนธุรกิจสูงขึ้นจากราคาน้ำมัน รวมถึงกระแสความนิยมใช้พลังงานสะอาด ลดการใช้พลังงานเชื้อเพลิงจากฟอสซิลก็ทำให้ต้นทุนสูงขึ้นเช่นกัน
3) ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครนที่ยืดเยื้อ เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ราคาน้ำมันอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง เนื่องจากกำลังการผลิตน้ำมันจากรัสเซียที่หายไป ซึ่งรัสเซียเป็นหนึ่งในผู้ส่งออกก๊าซธรรมชาติและน้ำมันรายใหญ่ มีสัดส่วนการผลิตน้ำมันอยู่ราว 10% ของโลก
นอกจากนี้ องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ หรือ OECD ยังคาดการณ์ว่าหากความไม่สงบยังยืดเยื้อ จะทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วโลกปรับสูงขึ้น 2.5%
ในด้านการลงทุน K WEALTH แนะนำให้ทยอยลงทุนแบบถัวเฉลี่ย หรือ DCA (Dollar Cost Averaging) เพื่อลดความผันผวนของผลตอบแทน โดยกองทุนรวมที่น่าสนใจและมีโอกาสให้ผลตอบแทนชนะเงินเฟ้อได้ มีดังนี้
- K-CHANGE กองทุนในเทรนด์รักษ์โลก มีหุ้นในพอร์ตเน้นกลุ่มเติบโตสูง ซึ่งปรับตัวลงมาในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ระดับราคาน่าสนใจ แต่ยังมีโอกาสเติบโตของรายได้ในอนาคตที่โดดเด่น นอกจากนี้ยังไม่ได้รับผลกระทบจากเงินเฟ้อในระยะยาว เนื่องจากบริษัทในกองทุนนี้เป็นผู้นำตลาด สามารถปรับราคาสินค้าขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจได้
- K-CLIMATE กองทุนรวมธีมพลังงานทางเลือก มีโอกาสเติบโตสูงในระยะยาวจากเมกะเทรนด์ระดับโลกที่รัฐบาล เอกชนและประชาชนทั่วโลกหันมาสนใจดูแลสิ่งแวดล้อม และแก้ไขปัญหา Climate Change เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน
- K-GINCOME กองทุนรวมที่กระจายความเสี่ยงด้วยการลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ทั่วโลกมากกว่า 2,500 ตัว เพื่อความมั่นคงของพอร์ต เน้นลงทุนในสินทรัพย์ที่สร้างรายได้สม่ำเสมอ เช่น หุ้นกู้ หุ้นปันผล กองทุนอสังหาฯ และอื่นๆ ทำให้สามารถจ่ายผลตอบแทนให้ผู้ลงทุนได้อย่างสม่ำเสมอเช่นกัน
ทั้งนี้ นักลงทุนยังสามารถลงทุนในทองคำเพื่อกระจายความเสี่ยง โดยควรมีสัดส่วนไม่เกิน 5-10% ของพอร์ต และสำหรับผู้ที่ไม่มีเวลาติดตามข่าวสารเพื่อปรับเปลี่ยนแผนการลงทุนด้วยตัวเอง สามารถใช้ Wealth PLUS บริการช่วยวางแผนลงทุนอัตโนมัติบน K PLUS ดูแลการลงทุนให้ได้ โดย Wealth PLUS มีระบบอัจฉริยะ มาตรฐานระดับสากล ช่วยแนะนำออกแบบแผนการลงทุน คัดเลือกกองทุนที่เหมาะสมตามความเสี่ยง ติดตามและปรับแผนการลงทุนให้อัตโนมัติตลอดระยะเวลาการลงทุนของผู้ใช้งาน
นอกจากการลงทุนแล้ว K WEALTH ยังแนะนำแนวทางการจัดการเงินสำหรับคนที่มีภาระเงินกู้ ซึ่งจะได้รับผลกระทบจากดอกเบี้ยที่อาจปรับตัวสูงขึ้น แนะนำให้ทยอยโปะเพื่อลดเงินต้น สำหรับคนที่ผ่อนบ้าน ควร Refinance เมื่ออัตราดอกเบี้ยของสถาบันการเงินใหม่ ถูกกว่าเดิมตั้งแต่ 2% ขึ้นไป จึงจะมีความคุ้มค่าในการ Refinance
สำหรับผู้ที่ไม่อยากพลาดความรู้การเงิน การลงทุนดีๆ สามารถติดตาม K WEALTH ได้ที่ LINE Official Account ของ “KBank Live” หรือ www.kasikornbank.com/kwealth