รีเซต

โลกจ่อย้ายโรงงานออกจากจีน หลังโควิดส่อแววกระทบระยะยาว

โลกจ่อย้ายโรงงานออกจากจีน หลังโควิดส่อแววกระทบระยะยาว
TNN ช่อง16
18 มกราคม 2565 ( 18:54 )
88
โลกจ่อย้ายโรงงานออกจากจีน หลังโควิดส่อแววกระทบระยะยาว

สำนักข่าว South China Morning Post รายงานว่า สถานการณ์เศรษฐกิจจีนอาจยังไม่ฟื้นตัวอย่างที่คาด หลังมีแนวโน้มว่า บรรดาโรงงานต่าง  อาจทยอยย้ายฐานการผลิตออกจากจีนแผ่นดินใหญ่


---วิกฤตโควิดกระทบจีนระยะยาว---


เมื่อวันเสาร์ (15 มกราคมที่ผ่านมา หลิว กุ้ยผิง รองผู้ว่าการธนาคารกลางจีน (PBOC) กล่าวในงาน Global Asset Management Forum  กรุงปักกิ่ง โดยระบุว่า ผลกระทบจากโควิด-19 เร่งให้เกิดการกระจายกำลังการผลิตออกจากจีนแผ่นดินใหญ่


นอกเหนือจากอิทธิพลของการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ ภาคอุตสาหกรรมของจีนกำลังเผชิญกับแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า หลังอุตสาหกรรมต่าง  ย้ายฐานไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงกลับไปตั้งฐานการผลิตในประเทศของตัวเอง” หลิว กล่าว


เขายังระบุถึงภัยคุกคามอื่น  ที่มีต่อเศรษฐกิจจีน ทั้งการแพร่ระบาดของโควิด-19, อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น และนโยบายการเงินที่เข้มงวด รวมถึงการต่อต้านโลกาภิวัตน์และการป้องกันการผูกขาดที่เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศ


อย่างไรก็ตาม ปัญหาการขาดแคลนชิปและการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานการผลิต ยังคุกคามต่อการลงทุนทั่วโลกอีกด้วย


---ย้ายโรงงานสู่ประเทศค่าแรงต่ำ---


ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จีนได้เห็นภาพการอพยพของโรงงาน ที่ย้ายฐานไปยังประเทศที่ค่าแรงถูกกว่า อย่างเช่น ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้


สหรัฐฯ และญี่ปุ่น รวมถึงประเทศอื่น  ที่พัฒนาแล้ว ต่างพยายามลดการพึ่งพาการผลิตของจีน และดึงงานด้านการผลิตกลับมาทำในประเทศตนเองมากขึ้น ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทานในจีน


ขณะที่ การแข่งขันระหว่างจีน-สหรัฐฯ และการเก็บภาษีสินค้านำเข้าที่สูงขึ้นในยุคอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้สร้างโอกาสให้ประเทศต่าง  มีบทบาทในด้านการค้ามากขึ้น เช่น เวียดนาม และเม็กซิโก


ทั้งนี้ ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership - RCEP) ที่มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 มกราคมที่ผ่านมา ยังได้กระตุ้นการเก็งกำไร หลังความน่าสนใจที่เพิ่มขึ้นของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาจเร่งให้ภาคการผลิต “ย้ายฐานออกจากประเทศจีน” 


---จีนมุ่งสู่ยุทธศาสตร์วงจรคู่ขนาน---


หลิว ยังเตือนถึงความเสี่ยงของกระแสเงินทุนไหลออกจำนวน “มหาศาล” จากตลาดเกิดใหม่ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินในประเทศเศรษฐกิจหลัก


และยังคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนมีนาคมที่จะถึงนี้ เพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งธนาคารกลางสหราชอาณาจักรและอินเดียได้ดำเนินการไปก่อนแล้ว และธนาคารกลางยุโรปกำลังพิจารณาอยู่ด้วย


หลิว กล่าวว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย อาจทำให้สินทรัพย์ในสกุลเงินยูโรและดอลลาร์สหรัฐฯ ไหลย้อนกลับไปยังยุโรปและสหรัฐฯ ซึ่งอาจก่อให้เกิดความวุ่นวายในตลาดการเงินโลก และส่งผลกระทบต่อจีนรุนแรงยิ่งกว่าเดิม


อย่างไรก็ตาม เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับสภาพแวดล้อมโลกที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน หลิว ยังเน้นถึงความสำคัญของการกระตุ้นตลาดภายในประเทศ ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของยุทธศาสตร์วงจรคู่ขนานของจีน


---พัฒนาตลาดในประเทศ-ดึงดูดต่างชาติ---


หลิวกล่าวด้วยว่า นโยบายดังกล่าว จำเป็นต้องขยายขอบเขต และเพิ่มนโยบายการเงินที่เหมาะสม เพื่อช่วยให้จีนเตรียมพร้อมรับมือกับการหดตัวของอุปสงค์ภาวะอุปทานหยุดชะงัก และเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มอ่อนแอลง


เขาเสริมว่า จีนควร “ใช้ประโยชน์จากศักยภาพมหาศาลของตลาดภายในประเทศอย่างเต็มที่” 


จีนควรจัดหาเงินทุนเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิภาพส่งเสริมการสร้างผลิตภัณฑ์ และบริการทางการเงินที่เอื้อต่อการเพิ่มรายได้ให้กับตัวเมืองและพื้นที่ชนบท รวมถึงส่งเสริมการเพิ่มอำนาจการใช้จ่ายของผู้บริโภค” หลิว กล่าว


ด้าน โหลว จี้เหว่ย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวในงานเดียวกันว่า จีนกำลังพยายามดึงดูดการลงทุนจากบริษัทต่างชาติ ด้วยการเปิดกว้างและปรับปรุงสภาพแวดล้อมด้านกฎระเบียบ เพื่อให้แน่ใจว่า ผู้ประกอบการต่างชาติได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม

—————

แปล-เรียบเรียงพัชรี จันทร์แรม

ภาพ: Reuters

ข่าวที่เกี่ยวข้อง