สหรัฐฯ เร่งปิดดีล "แร่หายาก" คุมเกมโลก

แม้จะเรียกว่าเป็นแร่ "หายาก" (Rare Earth) แต่หน่วยสำรวจธรณีวิทยาสหรัฐฯ ระบุว่า จริง ๆ แล้ว แร่ธาตุเหล่านี้มีอยู่ อย่างมากมายบริเวณแผ่นเปลือกโลก
เพียงแต่ในโลกนี้มีการทำเหมืองแร่โลหะหายากอยู่ในไม่กี่ประเทศ และการสกัดแร่โลหะหายาก ไม่ใช่เรื่องง่ายและยังส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมด้วย
ปัจจุบัน "แร่หายาก" ได้กลายเป็นหัวใจของเศรษฐกิจโลกยุคใหม่และถือเป็นอาวุธที่สำคัญในเกมของมหาอำนาจโดยมีสมรภูมิใหม่คืออาเซียน ซึ่งแร่หายาก (rare earth) คือกลุ่มของธาตุ 17 ชนิด ที่มีองค์ประกอบทางเคมีคล้ายคลึงกัน โดยครอบคลุมธาตุกลุ่มแลนทาไนด์ 15 ชนิด และอีก 2 ชนิดคือ สแกนเดียมและอิตเทรียม เป็นกลุ่มแร่โลหะที่มีบทบาทสำคัญต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง ตั้งแต่แม่เหล็กถาวรในมอเตอร์รถยนต์ไฟฟ้า กังหันลม ชิ้นส่วนเซมิคอนดักเตอร์ ไปจนถึงระบบอาวุธนำวิถี
เพราะฉะนั้นจึงทำให้ประเทศจีน กลายเป็นประเทศที่มีความสามารถในการถลุง และสกัดสินแร่หายาก ได้มากที่สุดในโลก ในยุคหลายสิบปีที่ผ่านมานั่นเอง
จีนควบคุมกระบวนการผลิตและแปรรูปแร่เหล่านี้มากกว่าร้อยละ 80 ของโลก และมีปริมาณสำรองแร่มากที่สุดในโลก
อันดับ 1 - จีน 44 ล้านตัน
อันดับ 2 - บราซิล 21 ล้านตัน
อันดับ 3 - อินเดีย 6.9 ล้านตัน
อันดับ 4 - ออสเตรเลีย 5.7ล้านตัน
อันดับ 5 - รัสเซีย 3.8 ล้านตัน
ตามด้วย เวียดนาม, สหรัฐ, กรีนแลนด์, แทนซาเนีย และแอฟริกาใต้ การที่จีนลดการส่งออกลงอย่างต่อเนื่องในปี 2568 ทำให้หลายประเทศตระหนักถึงความเสี่ยงของการพึ่งพาแหล่งอุปทานเพียงแหล่งเดียว และเร่งหาทางเลือกใหม่เพื่อรักษาเสถียรภาพในห่วงโซ่อุปทาน
แร่หายากในประเทศไทย
กรณีไทย-สหรัฐฯ ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) เกี่ยวกับแร่หายากนั้น ทางกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) ออกมาเผยว่า แม้แร่หายากจะมีกระจายอยู่ทั่วประเทศไทย เช่น เชียงราย แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ อุทัยธานี กาญจนบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร ระนอง พังงา และสุราษฎร์ธานี แต่กลับไม่พบพื้นที่กระจุกตัวที่มีความคุ้มค่าในเชิงพาณิชย์ จึงยังไม่มีเหมืองแร่หายากในไทย
ส่วนกรณีข่าวที่ระบุว่าไทยส่งออกเป็นอันดับ 5 ข้อเท็จจริงคือ ไทยนำเข้าแรร์เอิร์ธมาเป็นตัวแร่ และตกแต่งแร่ให้มีความเข้มข้นมากขึ้นก่อนจะส่งออก ฉะนั้น แรร์เอิร์ธไม่ได้มาจากเหมืองแร่ในประเทศ แต่นำเข้าจากออสเตรเลียเป็นหลัก อีกทั้งไทยยังไม่มีเทคโนโลยีในการสกัดแร่แรร์เอิร์ธให้ออกมาเป็นธาตุ ข้อตกลงความร่วมมือจึงถือเป็นความเข้าใจที่จะแลกเปลี่ยนส่งเสริมข้อมูลกับทางสหรัฐฯ มากกว่า
ข้อมูล 5อันดับแรกประเทศผู้ผลิตแร่หายากมากที่สุดในโลก ปี 2024 (ข้อมูลจากสำนักสำรวจธรณีวิทยาสหรัฐฯ - USGS) ได้แก่
1.จีน 270,000 เมตริกตัน
2.สหรัฐฯ 45,000 เมตริกตัน
3.เมียนมา 31,000 เมตริกตัน
4.ออสเตรเลีย 13,000 เมตริกตัน
5.ไทย 13,000 เมตริกตัน (เท่าออสเตรเลีย-ไนจีเรีย)
“แร่หายาก” อยู่ในแทบทุกอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
โทรศัพท์มือถือ
มีแร่หายาก 0.017-1 กรัม
- ระบบสั่น
- จอสี
- การขัดเงาหน้าจอ
- แผงวงจร
F-35
มีแร่หายาก 400 กิโลกรัม
- ระบบเรดาร์
- ระบบอิเล็กทรอนิกส์
- เคลือบล่องหน (stealth coating)
- แม่เหล็กถาวรในมอเตอร์
เรือดำน้ำชั้น Virginia
มีแร่หายาก 4,100 กิโลกรัม
- ระบบเรดาร์-โซนาร์
- ระบบอิเล็กทรอนิกส์
- ระบบควบคุม
- แผงแม่เหล็กถาวร (เงียบ)
** permanent megnet หรือแผงแม่เหล็กถาวร คือ แม่เหล็กที่สามารถสร้างสนามแม่เหล็กในตัวเองได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องใช้แหล่งพลังงานไฟฟ้าภายนอก ทำจากวัสดุถาวร เช่น เหล็ก นิกเกิล โคบอลต์ และองค์ประกอบของโลกหายาก (Rare Earth Elements) **
“แร่หายาก” ใครครอง จะคุมเกมโลกได้?
ต้องบอกว่า เรื่อง "สงครามแร่หายาก" นี่มันมีมานานมากแล้ว ตั้งแต่สมัยปี 2010 ที่จีนได้จำกัดการส่งออก "แร่หายาก" ไปยังญี่ปุ่น (ซึ่งเป็นช่วงที่มีพิพาทพรมแดนระหว่างกัน)
ก่อนที่ในปี 2015 จีนจะยกเลิกโควตา และภาษีการส่งออกแร่หายาก
แต่มาปะทุหนักขึ้นในปี 2025 นี้ หลังจากที่ทรัมป์ขึ้นมาดำรงตำแหน่ง และเกิดสงครามการค้าระหว่างกันขึ้น ทำให้จีนหวนกลับมาใช้ "แร่หายาก" ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในอุตสาหกรรมการป้องกันประเทศของสหรัฐฯ มาเป็น "ข้อต่อรอง"
การคุมแร่ของจีน - กับความพยายามของสหรัฐฯในการ "ปิดดีลแร่" กับประเทศต่าง ๆ แบบที่ทำอยู่ตอนนี้ ... สหรัฐฯ จะแก้เกมจีนได้จริงหรือ?
ดีลทั้งกับญี่ปุ่น, มาเลเซีย, ไทย, เวียดนาม และกัมพูชา ซึ่งมีสาระสำคัญที่แตกต่างกันออกไป - แต่หลัก ๆ คือ สหรัฐฯ จะสามารถเข้าถึงแร่หายากได้ และมีการกำหนดกฎเกณฑ์การส่งออกที่จะเอื้อประโยชน์ต่อผู้ซื้อชาวอเมริกันมากกว่าบริษัทจีน และจะไม่ขวางการส่งออกไปยังสหรัฐฯ แม้จะยังเร็วเกินไปที่จะประเมินผลกระทบที่เป็นรูปธรรม แต่นี่คือความพยายามของสหรัฐฯ ในการกระจายการเข้าถึงแร่ธาตที่จำเป็นสำหรับการผลิตขั้นสูง
ซึ่งไทยและมาเลเซียลงนามเป็น Memorandum of Understanding หรือ MOU ไม่ได้มีผลผูกมัด และเราสามารถยกเลิกได้ หากพบว่าเป็นโทษต่อเรา - แต่มันก็จะมี ดอกจันทร์ ใน MOU ว่า โครงการต่าง ๆ ก่อนยกเลิกจะยังดำเนินต่อไป..
ข้อตกลง (ที่ไทยลงนามเป็น MOU) ก็มีเป้าหมายที่จะล็อกให้สหรัฐฯ สามารถเข้าถึงแร่ได้ก่อน แน่นอนว่า นี่คือสัญญาณที่ชัดเจนที่จะ "ลดการพึ่งพาจีน" ก่อนที่ "ทรัมป์" จะพบกับ "สี จิ้นผิง" ผู้นำจีนในวันพฤหัสบดี (30 ตุลาคม) นี้
และนี่คือสิ่งที่สหรัฐฯ พยายามทำ.. "ท้าทายการควบคุมของจีนเหนือแร่หายาก"
จริง ๆ ในสหรัฐฯ ออสเตรเลีย หรือ ยุโรป เองก็มีแร่หายากเหมือนกัน แต่การสร้างเหมืองใหม่, เครื่องกลั่นใหม่, โรงงานแปรรูปในภูมิภาคออสเตรเลีย, สหรับฯ และยุโรป มันมีราคาสูงมาก มีการควบคุมด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวด และมีค่าแรงที่แพงกว่าในภูมิภาคอย่างอาเซียน หรือเอเชีย
จีนรู้ "จุดอ่อน" ของสหรัฐฯ ดี นั่นก็คือแร่หายากที่จีนควบคุม และจำกัดการส่งออกนี่เอง และดูจะทำให้จีนมี "แต้มต่อ" และ "อำนาจต่อรองมหาศาล" ในการเจรจาสงครามการค้ากับสหรัฐฯ
อีกทั้งการควบคุมของจีน ยังทำให้เกิดความกังวลไปทั่วศูนย์กลางการผลิตต่าง ๆ ทั้งในสหรัฐฯ ยุโรป และเอเชีย เพราะมีความเสี่ยงต่อ "ห่วงโซ่อุปทาน" ของแร่หายาก จากความสัมพันธ์สหรัฐฯ - จีน
ก่อนที่ทรัมป์จะมาเอเชียในสัปดาห์นี้ .. เขาก็เพิ่งบรรลุข้อตกลงกับ "ออสเตรเลีย" มูลค่า 8,500 ล้านดอลลาร์ หรือราว 2.7 แสนล้านบาทสัญญาว่าจะร่วมมือทางอุตสาหกรรมและร่วมลงทุนเพื่อสร้างศักยภาพในการแปรรูปแร่ธาตุหายากนอกประเทศจีน
เพราะฉะนั้น การที่สหรัฐฯ บรรลุข้อตกลงกับออสเตรเลีย และญี่ปุ่น ในการลงทุนเกี่ยวกับแร่หายาก ก็อาจทำให้สหรัฐฯ สามารถควบคุมแหล่งแร่หายากได้มากข้น ในห้วงเวลาที่ทรัมป์เตรียมเจอหน้า สี จิ้นผิง พฤหัสบดีนี้ ที่สหรัฐฯ จะไม่ตกเป็น “เบี้ยรอง” ในการพูดคุย
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
