รีเซต

สหรัฐฯ เร่งปิดดีล "แร่หายาก" คุมเกมโลก

สหรัฐฯ เร่งปิดดีล "แร่หายาก" คุมเกมโลก
TNN ช่อง16
29 ตุลาคม 2568 ( 11:37 )
21

แม้จะเรียกว่าเป็นแร่ "หายาก" (Rare Earth) แต่หน่วยสำรวจธรณีวิทยาสหรัฐฯ ระบุว่า จริง ๆ แล้ว แร่ธาตุเหล่านี้มีอยู่ อย่างมากมายบริเวณแผ่นเปลือกโลก


เพียงแต่ในโลกนี้มีการทำเหมืองแร่โลหะหายากอยู่ในไม่กี่ประเทศ และการสกัดแร่โลหะหายาก ไม่ใช่เรื่องง่ายและยังส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมด้วย


ปัจจุบัน "แร่หายาก" ได้กลายเป็นหัวใจของเศรษฐกิจโลกยุคใหม่และถือเป็นอาวุธที่สำคัญในเกมของมหาอำนาจโดยมีสมรภูมิใหม่คืออาเซียน  ซึ่งแร่หายาก (rare earth) คือกลุ่มของธาตุ 17 ชนิด ที่มีองค์ประกอบทางเคมีคล้ายคลึงกัน โดยครอบคลุมธาตุกลุ่มแลนทาไนด์ 15 ชนิด และอีก 2 ชนิดคือ สแกนเดียมและอิตเทรียม เป็นกลุ่มแร่โลหะที่มีบทบาทสำคัญต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง ตั้งแต่แม่เหล็กถาวรในมอเตอร์รถยนต์ไฟฟ้า กังหันลม ชิ้นส่วนเซมิคอนดักเตอร์ ไปจนถึงระบบอาวุธนำวิถี

เพราะฉะนั้นจึงทำให้ประเทศจีน กลายเป็นประเทศที่มีความสามารถในการถลุง และสกัดสินแร่หายาก ได้มากที่สุดในโลก ในยุคหลายสิบปีที่ผ่านมานั่นเอง 


จีนควบคุมกระบวนการผลิตและแปรรูปแร่เหล่านี้มากกว่าร้อยละ 80 ของโลก และมีปริมาณสำรองแร่มากที่สุดในโลก 


อันดับ 1 - จีน 44 ล้านตัน 

อันดับ 2 - บราซิล 21 ล้านตัน 

อันดับ 3 - อินเดีย 6.9 ล้านตัน  

อันดับ 4 - ออสเตรเลีย 5.7ล้านตัน  

อันดับ 5 - รัสเซีย 3.8 ล้านตัน 


ตามด้วย เวียดนาม, สหรัฐ, กรีนแลนด์, แทนซาเนีย และแอฟริกาใต้   การที่จีนลดการส่งออกลงอย่างต่อเนื่องในปี 2568 ทำให้หลายประเทศตระหนักถึงความเสี่ยงของการพึ่งพาแหล่งอุปทานเพียงแหล่งเดียว และเร่งหาทางเลือกใหม่เพื่อรักษาเสถียรภาพในห่วงโซ่อุปทาน


แร่หายากในประเทศไทย


กรณีไทย-สหรัฐฯ ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) เกี่ยวกับแร่หายากนั้น ทางกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) ออกมาเผยว่า  แม้แร่หายากจะมีกระจายอยู่ทั่วประเทศไทย เช่น เชียงราย แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ อุทัยธานี กาญจนบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร ระนอง พังงา และสุราษฎร์ธานี  แต่กลับไม่พบพื้นที่กระจุกตัวที่มีความคุ้มค่าในเชิงพาณิชย์ จึงยังไม่มีเหมืองแร่หายากในไทย


ส่วนกรณีข่าวที่ระบุว่าไทยส่งออกเป็นอันดับ 5 ข้อเท็จจริงคือ ไทยนำเข้าแรร์เอิร์ธมาเป็นตัวแร่ และตกแต่งแร่ให้มีความเข้มข้นมากขึ้นก่อนจะส่งออก ฉะนั้น แรร์เอิร์ธไม่ได้มาจากเหมืองแร่ในประเทศ แต่นำเข้าจากออสเตรเลียเป็นหลัก อีกทั้งไทยยังไม่มีเทคโนโลยีในการสกัดแร่แรร์เอิร์ธให้ออกมาเป็นธาตุ ข้อตกลงความร่วมมือจึงถือเป็นความเข้าใจที่จะแลกเปลี่ยนส่งเสริมข้อมูลกับทางสหรัฐฯ มากกว่า


ข้อมูล 5อันดับแรกประเทศผู้ผลิตแร่หายากมากที่สุดในโลก ปี 2024 (ข้อมูลจากสำนักสำรวจธรณีวิทยาสหรัฐฯ - USGS)   ได้แก่

 

1.จีน     270,000 เมตริกตัน

2.สหรัฐฯ  45,000 เมตริกตัน

3.เมียนมา 31,000 เมตริกตัน

4.ออสเตรเลีย 13,000 เมตริกตัน

5.ไทย   13,000 เมตริกตัน  (เท่าออสเตรเลีย-ไนจีเรีย)



“แร่หายาก” อยู่ในแทบทุกอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์


โทรศัพท์มือถือ

มีแร่หายาก 0.017-1 กรัม

- ระบบสั่น

- จอสี

- การขัดเงาหน้าจอ

- แผงวงจร


F-35

มีแร่หายาก 400 กิโลกรัม

- ระบบเรดาร์

- ระบบอิเล็กทรอนิกส์

- เคลือบล่องหน (stealth coating)

- แม่เหล็กถาวรในมอเตอร์


เรือดำน้ำชั้น Virginia

มีแร่หายาก 4,100 กิโลกรัม

- ระบบเรดาร์-โซนาร์

- ระบบอิเล็กทรอนิกส์

- ระบบควบคุม

- แผงแม่เหล็กถาวร (เงียบ)


** permanent megnet หรือแผงแม่เหล็กถาวร คือ แม่เหล็กที่สามารถสร้างสนามแม่เหล็กในตัวเองได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องใช้แหล่งพลังงานไฟฟ้าภายนอก ทำจากวัสดุถาวร เช่น เหล็ก นิกเกิล โคบอลต์ และองค์ประกอบของโลกหายาก (Rare Earth Elements) **

“แร่หายาก” ใครครอง จะคุมเกมโลกได้?


ต้องบอกว่า เรื่อง "สงครามแร่หายาก" นี่มันมีมานานมากแล้ว ตั้งแต่สมัยปี 2010 ที่จีนได้จำกัดการส่งออก "แร่หายาก" ไปยังญี่ปุ่น (ซึ่งเป็นช่วงที่มีพิพาทพรมแดนระหว่างกัน)


ก่อนที่ในปี 2015 จีนจะยกเลิกโควตา และภาษีการส่งออกแร่หายาก


แต่มาปะทุหนักขึ้นในปี 2025 นี้ หลังจากที่ทรัมป์ขึ้นมาดำรงตำแหน่ง และเกิดสงครามการค้าระหว่างกันขึ้น ทำให้จีนหวนกลับมาใช้ "แร่หายาก" ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในอุตสาหกรรมการป้องกันประเทศของสหรัฐฯ มาเป็น "ข้อต่อรอง"


การคุมแร่ของจีน - กับความพยายามของสหรัฐฯในการ "ปิดดีลแร่" กับประเทศต่าง ๆ แบบที่ทำอยู่ตอนนี้ ... สหรัฐฯ จะแก้เกมจีนได้จริงหรือ?


ดีลทั้งกับญี่ปุ่น, มาเลเซีย, ไทย, เวียดนาม และกัมพูชา ซึ่งมีสาระสำคัญที่แตกต่างกันออกไป - แต่หลัก ๆ คือ สหรัฐฯ จะสามารถเข้าถึงแร่หายากได้ และมีการกำหนดกฎเกณฑ์การส่งออกที่จะเอื้อประโยชน์ต่อผู้ซื้อชาวอเมริกันมากกว่าบริษัทจีน  และจะไม่ขวางการส่งออกไปยังสหรัฐฯ  แม้จะยังเร็วเกินไปที่จะประเมินผลกระทบที่เป็นรูปธรรม  แต่นี่คือความพยายามของสหรัฐฯ ในการกระจายการเข้าถึงแร่ธาตที่จำเป็นสำหรับการผลิตขั้นสูง


ซึ่งไทยและมาเลเซียลงนามเป็น Memorandum of Understanding หรือ MOU ไม่ได้มีผลผูกมัด และเราสามารถยกเลิกได้ หากพบว่าเป็นโทษต่อเรา - แต่มันก็จะมี ดอกจันทร์ ใน MOU ว่า โครงการต่าง ๆ ก่อนยกเลิกจะยังดำเนินต่อไป..


ข้อตกลง (ที่ไทยลงนามเป็น MOU) ก็มีเป้าหมายที่จะล็อกให้สหรัฐฯ สามารถเข้าถึงแร่ได้ก่อน  แน่นอนว่า นี่คือสัญญาณที่ชัดเจนที่จะ "ลดการพึ่งพาจีน" ก่อนที่ "ทรัมป์" จะพบกับ "สี จิ้นผิง" ผู้นำจีนในวันพฤหัสบดี (30 ตุลาคม) นี้


และนี่คือสิ่งที่สหรัฐฯ พยายามทำ.. "ท้าทายการควบคุมของจีนเหนือแร่หายาก"   


จริง ๆ ในสหรัฐฯ ออสเตรเลีย หรือ ยุโรป เองก็มีแร่หายากเหมือนกัน แต่การสร้างเหมืองใหม่, เครื่องกลั่นใหม่, โรงงานแปรรูปในภูมิภาคออสเตรเลีย, สหรับฯ และยุโรป มันมีราคาสูงมาก มีการควบคุมด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวด และมีค่าแรงที่แพงกว่าในภูมิภาคอย่างอาเซียน หรือเอเชีย


 

จีนรู้ "จุดอ่อน" ของสหรัฐฯ ดี นั่นก็คือแร่หายากที่จีนควบคุม และจำกัดการส่งออกนี่เอง และดูจะทำให้จีนมี "แต้มต่อ" และ "อำนาจต่อรองมหาศาล" ในการเจรจาสงครามการค้ากับสหรัฐฯ


อีกทั้งการควบคุมของจีน ยังทำให้เกิดความกังวลไปทั่วศูนย์กลางการผลิตต่าง ๆ ทั้งในสหรัฐฯ ยุโรป และเอเชีย  เพราะมีความเสี่ยงต่อ "ห่วงโซ่อุปทาน" ของแร่หายาก จากความสัมพันธ์สหรัฐฯ - จีน


ก่อนที่ทรัมป์จะมาเอเชียในสัปดาห์นี้ .. เขาก็เพิ่งบรรลุข้อตกลงกับ "ออสเตรเลีย" มูลค่า 8,500 ล้านดอลลาร์ หรือราว 2.7 แสนล้านบาทสัญญาว่าจะร่วมมือทางอุตสาหกรรมและร่วมลงทุนเพื่อสร้างศักยภาพในการแปรรูปแร่ธาตุหายากนอกประเทศจีน 


เพราะฉะนั้น การที่สหรัฐฯ บรรลุข้อตกลงกับออสเตรเลีย และญี่ปุ่น ในการลงทุนเกี่ยวกับแร่หายาก ก็อาจทำให้สหรัฐฯ สามารถควบคุมแหล่งแร่หายากได้มากข้น ในห้วงเวลาที่ทรัมป์เตรียมเจอหน้า สี จิ้นผิง พฤหัสบดีนี้ ที่สหรัฐฯ จะไม่ตกเป็น “เบี้ยรอง” ในการพูดคุย



ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง