"แร่หายาก" ตัวเปลี่ยนเกมสงครามการค้าโลก? สหรัฐฯ-จีน ศึกนี้ใหญ่กว่าที่คิดหรือไม่

"แร่หายาก" ตัวเปลี่ยนเกม สงครามการค้าโลก?
"แร่หายาก" (Rare Earth Elements) กลายเป็นไม้เด็ดอาวุธลับของประเทศจีนในสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกา เพราะจีนถือไพ่เหนือกว่า ในฐานะผู้ผลิตเจ้าหลักรายใหญ่รายเดียวของโลก และเมื่อจีนไม่ให้ ไม่ส่งออก ใครจะทำอะไรได้ ?
แร่หายาก คือ อะไร ? แร่เหล่านี้เป็นวัตถุดิบจำเป็นสำหรับผลิตสินค้าทุกอย่างตั้งแต่สมาร์ตโฟนไปจนถึงเครื่องบินรบ ตั้งแต่สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ไปถึงด้านความมั่นคง แร่หายากเป็นวัตถุดิบที่จำเป็นสำหรับเทคโนโลยีสำคัญๆ มากมาย เช่น แผงโซลาร์เซลล์ รถไฟฟ้า และอาวุธทหาร ตัวอย่างเช่น เครื่องบินรบ F-35 ลำหนึ่งต้องการแร่หายากกว่า 400 กิโลกรัม สำหรับชั้นเคลือบพรางตัว มอเตอร์ เรดาร์ และชิ้นส่วนต่างๆ
ข้อมูลจากสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ระบุว่าจีนยังคงเป็นผู้ครองตลาดแม่เหล็กถาวรจากแร่หายากรายใหญ่ที่สุดของโลก โดยมีสัดส่วนประมาณ 90% ของการผลิตทั่วโลก และมีอำนาจเหนือการกลั่นแร่หายากในระดับเดียวกัน โดยเมื่อปีที่แล้วหรือในปี 2567 แร่หายากที่สหรัฐฯนำเข้าประเทศมากถึงประมาณ 70% มาจากจีน และแม้สหรัฐฯจะเป็นผู้ผลิตรายใหญ่อันดับสองของโลก แต่ยังห่างชั้นจากจีนมาก และมีปริมาณสำรองเพียง 2% ของโลกเท่านั้น
และล่าสุดทางการจีนได้ออกมาตรการควบคุมการส่งออกแร่หายากอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่เมษายน 2568 แต่ล่าสุดคือเมื่อช่วงวันที่ 9 ตุลาคม 2568 กระทรวงพาณิชย์จีน ได้ประกาศว่าได้ขยายรายการธาตุแร่หายากที่อยู่ภายใต้การควบคุมมากขึ้นจากก่อนหน้านี้ 7 ชนิด เพิ่มขึ้นมาเป็น 12 ชนิด (โดยเพิ่ม holmium, erbium, thulium, europium, และ ytterbium เข้าไปด้วย )
นอกจากนี้จีนยังได้เพิ่มอุปกรณ์เครื่องมือ เทคโนโลยี และกระบวนการกลั่นแร่หายากเข้าในระบบการควบคุมการส่งออกอีกด้วย โดยตามกฎใหม่ จะบังคับให้บริษัทต่างชาติต้องได้รับอนุมัติจากรัฐบาลจีนก่อนส่งออกสินค้าที่มีแร่หายาก แม้จะในปริมาณเล็กน้อยเกินแค่ 0.1 เปอร์เซ็นต์ก็ต้องได้รับอนุมัติก่อน และต้องแจ้งวัตถุประสงค์การใช้งาน
การออกประกาศครั้งล่าสุดนี้ สะเทือนสงครามการค้าสหรัฐฯ เพราะบริษัทต่างชาติต้องขออนุมัติจากรัฐบาลจีน ซึ่งผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าจีนนั้นได้เปรียบเพราะครองตลาดแปรรูปเกือบทั้งหมด และยังส่งผลกระทบต่อเทคโนโลยี ทหาร และยานยนต์ไฟฟ้าหรือ EV ทั่วโลก และที่ผ่านมารัฐบาลจีนได้พัฒนาบุคลากรจำนวนมากและเครือข่ายวิจัยที่ล้ำหน้าคู่แข่งในด้านนี้ ถึงแม้สหรัฐฯ และพันธมิตร ร่วมมือกันทำเป็นโครงการระดับชาติ แต่น่าจะต้องใช้อย่างน้อย 5 ปีถึงจะตามจีนทัน เห็นได้ชัดจากการที่ก่อนหน้านี้ในช่วงเมษายน นับตั้งแต่การคุมเข้มการส่งออกครั้งแรก ก็เคยทำให้เกิดวิกฤตขาดแคลนแร่หายากทั่วโลก และส่งผลทำให้หลายอุตสาหกรรมต้องหยุดชะงักมาแล้ว
ในหนนี้ทางการสหรัฐฯ ได้ตอบโต้ทันทีโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้ประกาศขู่วางภาษีการค้าไปยังสินค้าจากจีนเพิ่มอีก 100% และควบคุมการส่งออกซอฟต์แวร์สำคัญด้วย ขณะที่ สกอตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ก็กล่าวโจมตีว่า จีนจ่อบาซูก้าที่ห่วงโซ่อุปทานและฐานอุตสาหกรรมของโลกเสรี และสหรัฐฯ จะไม่ยอมอย่างเด็ดขาด
แม้ต่อมาทางการจีนจะออกมาชี้แจงว่า มาตรการเหล่านี้เป็นการดำเนินการด้านความมั่นคงของชาติ และเป็นการควบคุมตามปกติในกรอบกฎหมายส่งออก ไม่ใช่การดำเนินการเพื่อกีดกันการค้าแต่อย่างใด พร้อมโต้กลับสหรัฐฯ ว่า ยั่วยุให้เกิดความเข้าใจผิดและความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน โฆษกกระทรวงพาณิชย์จีนย้ำว่า "บริษัทที่ส่งออกแร่หายากจะได้รับอนุมัติ เมื่อใบอนุญาตส่งออกถูกต้องและใช้เพื่อพลเรือน"
ซึ่งคำประกาศของจีนนั้นทำจริงและเห็นผลแล้วด้วย สำนักข่าว CNBC รายงานว่า การส่งออกแม่เหล็กแร่หายากของจีนไปยังสหรัฐฯลดลงอย่างมากในเดือนกันยายนที่ผ่านมา อ้างอิงจากข้อมูลจากสำนักงานศุลกากรจีน (China’s General Administration of Customs) ระบุว่าการส่งออกแม่เหล็กแร่หายากไปยังสหรัฐลดลง 28.7% จากเดือนสิงหาคม เหลืออยู่ที่ระดับ 420.5 ตัน และลดลงไปถึง 30% หากเราเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน การหดตัวลงดังกล่าวเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกันแล้ว หลังจากมีการฟื้นตัวในช่วงสั้นๆในเดือนมิถุนายน เมื่อจีนตกลงจะเร่งออกใบอนุญาตส่งออกแร่หายากระหว่างการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯที่กรุงลอนดอน
นอกจากนี้ไม่ใช่เพียงแค่สหรัฐฯแล้ว จีนยังลดการส่งออกแม่เหล็กแร่หายากโดยรวมทั่วโลกลงด้วย โดยข้อมูลศุลกากรระบุว่า ปริมาณการส่งออกทั้งหมดลดลง 6.1% จากเดือนสิงหาคม
และแม้ว่าจีนจะส่งออกแร่หายากเหล่านี้ได้น้อยลง แต่เศรษฐกิจจีนไม่น่าจะสะเทือนเท่าไหร่นัก เพราะแร่เหล่านี้มีมูลค่าทางเศรษฐกิจน้อยมากสำหรับประเทศจีน โดยผู้เชี่ยวชาญบางคนประเมินว่า แร่หายากมีมูลค่าการส่งออกน้อยกว่า 0.1% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของจีน ที่สูงถึง 18.7 ล้านล้าน
"สหรัฐฯ" เร่งหาพันธมิตร กระจายความเสี่ยง "แร่หายาก"
เมื่อจีนมีอำนาจและผูกขาดในแร่หายาก ดังนั้นทางออกที่สหรัฐฯ ทำ คือ การกระจายความเสี่ยง ทางออกคือ จับมือกับประเทศอื่น
ความตึงเครียดจากประเด็นแร่หายากได้ผลักดันให้สหรัฐฯและพันธมิตร ต้องเร่งสร้างแหล่งผลิตใหม่ สร้างซัพพลายเชนใหม่ที่ลดการพึ่งพาจีน
หนึ่งในความเคลื่อนไหวล่าสุด คือ สหรัฐฯ และออสเตรเลียได้จับมือกัน โดยผู้นำสหรัฐฯ กับออสเตรเลียได้ลงนามข้อตกลงเกี่ยวกับแร่หายากร่วมกันแล้ว เมื่อวันที่ 20 ต.ค. 2568 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ได้เปิดทำเนียบขาวต้อนรับนายแอนโทนี อัลบาเนซี นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย พร้อมลงนามข้อตกลงร่วมลงทุนและพัฒนาแร่หายาก (Rare Earths) และแร่ธาตุสำคัญทางยุทธศาสตร์ (Critical Minerals) ด้วยมูลค่ากว่า 8.5 พันล้านดอลลาร์ฯ
ทั้งสองประเทศจะร่วมกันลงทุนเบื้องต้นประเทศละ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายใน 6 เดือนข้างหน้า เพื่อพัฒนาเหมือง และโรงงานแปรรูป โดยหนึ่งในโครงการสำคัญคือโรงงานผลิตแกลเลียม ในรัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย ที่จะมีศักยภาพผลิตวัตถุดิบสำคัญสำหรับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลก โดย "แกลเลียม" เป็นแร่ที่ใช้ในการผลิตชิปพลังงานสูง และระบบอิเล็กทรอนิกส์ทางทหาร
โดยก่อนหน้านี้นายเควิน รัดด์ เอกอัครราชทูตออสเตรเลียประจำวอชิงตัน กล่าวปราศรัยย้ำศักยภาพของออสเตรเลียในการแก้ปัญหาการขาดแคลนแร่ธาตุสำคัญของโลกตะวันตก โดยระบุว่า ออสเตรเลียเปรียบได้กับตารางธาตุทั้งฉบับ เพราะเรามีแร่เกือบทุกชนิดบนโลก แต่สิ่งสำคัญคือเรามีความเชี่ยวชาญในการทำเหมือง ซึ่งเป็นธุรกิจเทคโนโลยีขั้นสูง และเรามีบริษัทเหมืองที่ใหญ่และดีที่สุดในโลกด้วย
ข้อมูลจากสำนักงานสำรวจทางธรณีวิทยาของสหรัฐ (USGS) ระบุปริมาณการผลิตแร่หายากของประเทศต่างๆ ในปีที่ผ่านมา (ปี 2567) พบว่า จีน มีผลผลิตเป็นอันดับหนึ่งของโลก มากถึง 270,000 เมตริกตัน จีนยังคงครองตำแหน่งผู้นำโลกในอุตสาหกรรมแร่หายาก โดยเฉพาะแร่เบา เช่น นีโอไดเมียม และ พราซิโอดิเมียม ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญสำหรับการผลิตแม่เหล็กถาวร
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
