รีเซต

"เวียดนาม" เลิกกฎเหล็กห้ามมีลูกเกิน 2 คน ครั้งแรกในรอบ 37 ปี

"เวียดนาม" เลิกกฎเหล็กห้ามมีลูกเกิน 2 คน ครั้งแรกในรอบ 37 ปี
TNN ช่อง16
10 มิถุนายน 2568 ( 08:00 )
16

"เวียดนาม" เลิกกฎเหล็กห้ามมีลูกเกิน 2 คน ครั้งแรกในรอบ 37 ปี


รัฐบาลเวียดนามออกประกาศยกเลิกนโยบายจำกัดจำนวนบุตรไม่เกิน 2 คน 

หลังจากที่ทางการเวียดนามเคยออกข้อห้ามนี้มาตั้งแต่ปี 1988  

และใช้มายาวนานกว่า 37  ปี โดยนับจากนี้เป็นต้นไปขนาดของครอบครัว

หรือใครอยากจะมีลูกซักกี่คน ทางการก็จะไม่ยุ่งเกี่ยว

ให้แต่ละบ้านวางแผนกันเอง คู่สมรสสามารถตัดสินใจกันเองได้เลย


ทั้งนี้ในอดีตเวียดนามไม่อยากให้คนมีลูกเยอะ

เพราะทรัพยากรที่มีจำกัด หลังจากผ่านยุคสงครามมาหลายปี 


แต่ปัจจุบันนี้สวนทางกัน รัฐบาลเวียดนามอยากให้คนมีครอบครัวช่วยกันผลิตลูก 

เพราะอัตราการเกิดที่ลดต่ำลงอย่างต่อเนื่องจนเสี่ยงวิกฤต

ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขของเวียดนามเปิดเผยว่า 

อัตราการเจริญพันธุ์รวมของประเทศในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาลดลงอย่างต่อเนื่อง 

ขณะที่ในปี 2021 อยู่ที่ 2.11 

ปี 2022 อยู่ที่ 2.01 

ปี 2023 อยู่ที่ 1.96

กระทั่งล่าสุด คือ ปีที่แล้ว ในปี 2024 อยู่ที่ 1.91 คนต่อผู้หญิงหนึ่งคน 

ต่ำกว่าระดับการทดแทนประชากรที่ 2.1  


ซึ่งแนวโน้มดังกล่าวนี้พบมากในเขตเมืองและพื้นที่พัฒนาแล้ว 

เช่น ฮานอย และ นครโฮจิมินห์ 

เพราะประชาชนต้องเผชิญกับค่าครองชีพที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง


เศรษฐกิจที่เติบโต ต้องการกำลัง "คน" 


รัฐบาลเวียดนามยอมรับว่าเริ่มประสบความยากลำบากในการกระตุ้นให้ประชาชนมีลูกเพิ่ม 

แม้จะมีการปรับนโยบายและจัดกิจกรรมรณรงค์อย่างหนักแล้วก็ตาม 

 "เหงียน ถิ เลียน เฮือง " รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขของเวียดนาม กล่าวในที่ประชุมเมื่อต้นปีนี้ว่า 

อัตราการเกิดที่ลดลงคือความท้าทายต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในระยะยาว 

ทั้งในแง่ของการเข้าสู่สังคมสูงวัยและปัญหาการขาดแคลนแรงงาน 

พร้อมระบุด้วยว่า เวียดนามควรปรับแนวคิดจากการมุ่งเน้นการวางแผนครอบครัว ไปสู่

มิติประชากรและการพัฒนาในภาพรวม


นอกจากนี้อีกหนึ่งความท้าทายของเวียดนามคือ ความไม่สมดุลทางเพศ 

เนื่องจากวัฒนธรรมดั้งเดิมที่นิยมลูกชายมากกว่าลูกสาว 

ซึ่งล่าสุดกระทรวงสาธารณสุขเองก็ได้พยายามแก้ปัญหาด้วยการเพิ่มค่าปรับ

กรณีเลือกเพศบุตรถึง 3,800 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 140,000 บาท 

เพื่อยับยั้งการคัดเลือกเพศชายหรือหญิงก่อนคลอด 

แม้สถานการณ์จะดีขึ้นเล็กน้อย แต่อัตราส่วนเพศชายก็ยังมากกว่า

คือ อยู่ที่ 112 เด็กชาย ต่อ 100 เด็กหญิง


อย่างไรก็ที่ผ่านมาตามกฎหมายเดิมที่ทางการจำกัดการมีลูกสองคนต่อครอบครัวนั้น 

ความจริงแล้วในทางปฏิบัติ กฎหมายนี้ไม่ค่อยบังคับใช้กับสมาชิกที่ไม่ใช่พรรคคอมมิวนิสต์ 

แต่สำหรับสมาชิกพรรคที่ฝ่าฝืนกฎหมายในอดีต อาจถูกลงโทษด้วยการตักเตือน 

ลดโบนัส หรือไล่ออกจากตำแหน่ง


ขณะเดียวกันข้อมูลจาก UN โดยกองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ (United Nations Population Fund)

ได้เคยระบุไว้ว่า เวียดนามกำลังอยู่ในช่วงที่ประชากรเริ่มเข้าสู่วัยผู้สูงอายุแล้ว 

และการเปลี่ยนผ่านจากประชากรไปสู่การเป็นสังคม “ผู้สูงอายุ” เต็มตัว

จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมากภายในเวลาเพียงแค่ 20 ปีเท่านั้น  


ดังนั้นปัญหาด้านประชากร จึงเป็นปมเร่งด่วนที่รัฐบาลเวียดนามต้องเร่งแก้ไข

เพราะในขณะนี้เศรษฐกิจเวียดนามกำลังเติบโตอย่างสดใส 

กำลังจ่อแซงหน้าไทยขึ้นเบอร์สองของอาเซียน 

และยังมีเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แรงกล้า คือ 

การขึ้นแท่นเป็นประเทศรายได้สูง ประเทศพัฒนาแล้ว ภายใน  20 ปี หรือปี 2045  


ตามรอยมหาอำนาจ "จีน" เลิกนโยบายลูกคนเดียว 

 

เวียดนามไม่ใช่แค่ประเทศเดียวในโลกที่เจอกับวิกฤตประชากร

ตอนนี้หลายชาติรวมถึงไทยเราเอง ก็กำลังเร่งเชิญชวนให้คนยุคใหม่มีลูกกันมากขึ้น

หรือแม้กระทั่งพี่จีน มหาอำนาจทางเศรษฐกิจ ที่เคยยืนหนึ่งด้านประชากร

ตอนนี้ยังเจอกับอัตราการเกิดที่ลดลง 


ถ้าพูดถึงจีน หลายคนน่าจะรู้จักกับนโยบายลูกคนเดียว ซึ่งปัจจุบันนี้ไม่มีหรือว่าถูกยกเลิกไปนานแล้ว

จากที่เคยประกาศใช้อย่างเข้มงวดในทศวรรษ 1980 เพื่อควบคุมประชากร 

จากนั้นได้ยกเลิกไปในปี 2016 และเปิดให้คนจีนมีลูกได้ถึง 3 คนนับตั้งแต่ปี 2021 เป็นต้นมา

เป็นความพยายามของทางการจีน ที่หวังจะเพิ่มจำนวนประชากรเกิดใหม่ให้ทันกับผู้สูงอายุ

แต่ ณ ปัจจุบันนี้ ทิศทางกลับไม่ดีขึ้นอย่างที่คาดหวัง แม้จะมีมาตรการจูงใจต่างๆ มากมายออกมา

ทั้งการให้เงินอุดหนุน การลดหย่อนภาษี และการเพิ่มวันลาคลอด

แต่ปรากฎว่าจีนมีจำนวนประชากรลดลงต่อเนื่องติดต่อกันถึง 3 ปีแล้ว

จากข้อมูลล่าสุดของสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน พบว่าจำนวนประชากรของจีนในปีที่ผ่านมา

ลดลงกว่า 1.39 ล้านคน เหลือเพียง 1.408 พันล้านคน 

เป็นสัญญาณอันตราย เตือนถึงปัญหาทางเศรษฐกิจในระยะยาว


ขณะที่อาเซียน ซึ่งรวมถึงเวียดนามและไทย ก็ไม่ต่างกันนัก

เราเจอกับความท้าทายด้านประชากรสูงวัยและอัตราการเกิดที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง 

หลายประเทศได้ดำเนินนโยบายเพื่อส่งเสริมการมีบุตรและรักษาสมดุลประชากรในระยะยาว

ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา อัตราการเจริญพันธุ์รวม (TFR) ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จากข้อมูลของ World Bank ในปี 2017 

พบว่า TFR ในภูมิภาคลดลงจาก 5.5 ในปี 1970 เหลือ 2.11 ในปี 2017  

ประเทศที่มี TFR ต่ำกว่าระดับทดแทนประชากร (หรือต่ำกว่า 2.1) 

ได้แก่ บรูไน ไทย สิงคโปร์ มาเลเซีย และเวียดนาม  


โดยแต่ละประเทศต่างก็เร่งงัดมาตรการยาแรงมาจูงใจให้คนหันมามีลูกมากขึ้น

ท่ามกลางแรงกดดันทางเศรษฐกิจที่ผลต่อการวางแผนครอบครัว

เช่น  ไทย ที่ประชากรลดลงต่อเนื่องกันถึงสี่ปีเต็มๆ 

และล่าสุดยังเจอกับตัวเลขเด็กเกิดใหม่ต่ำสุดในรอบ 75 ปี และหากทิศทางยังเป็นเช่นนี้

ข้อมูลจากสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล

คาดว่าอีกแค่ 50 ปี จะเหลือประชากรไทยวัยทำงานเพียงแค่ 22 ล้านคน 

จากประชากรทั้งประเทศกว่า 60 ล้านคน ณ วันนี้ 

ยังน้อยลง ซึ่งทางภาครัฐก็กำลังเร่งผลักดันมาแก้ไขปัญหาดังกล่าว 

โดยเฉพาะกระทรวงสาธารณสุข โดยทีมพัฒนาอนามัยเจริญพันธุ์ฯ 

ได้เสนอร่าง “วาระแห่งชาติ” หนุนมีบุตรอย่างมีคุณภาพแก้วิกฤตเกิดน้อย

ขณะที่หน่วยงานต่างๆก็ได้เร่งออกมาตรการเพิ่มเติมเพื่อส่งเสริมและช่วยเหลือผู้มีบุตร 

เช่น การเพิ่มเงินสงเคราะห์บุตร  


แค่คนในประเทศน้อยลง จะน่ากลัวตรงไหน

คำตอบคือ น่ากลัวในทุกด้าน ลองนึกภาพเมืองที่มีแต่คนแก่จะเกิดอะไรขึ้น

ไม่มีวัยแรงงาน ไม่มีการพัฒนาใหม่ๆ จากคนรุ่นใหม่อีกต่อไป

เศรษฐกิจก็ไม่เดินหน้า ประเทศมีแต่ถอยหลัง 


ปัญหาประชากร โดยเฉพาะ อัตราการเกิดที่ลดลง และ สังคมสูงวัย 

มีความเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจอย่างลึกซึ้งในหลายด้าน

เช่น หากมีวัยแรงงานลดลง สวนทางกับประชากรวัยพึ่งพิงที่เพิ่มขึ้น

แรงงานก็จะขาดแคลน ธุรกิจต้องแข่งขันกันแย่งแรงงาน 

ค่าแรงสูงขึ้น แต่ผลิตภาพไม่เพิ่ม

อุตสาหกรรมที่พึ่งแรงงานจำนวนมาก เช่น เกษตรกรรม การผลิต และบริการ ได้รับผลกระทบหนัก


มีผลไปถึงภาครัฐ เมื่อภาระเพิ่มหนักขึ้น

รัฐบาลต้องใช้งบประมาณมากขึ้นเพื่อดูแลผู้สูงอายุ เช่น เบี้ยยังชีพ ค่ารักษาพยาบาล

แถมรายได้ของรัฐบาล ซึ่งก็คือ ภาษี ก็ยังลดลงเพราะมีผู้ทำงานน้อยลง


นอกจากนี้การบริโภคภายในประเทศก็หดตัว 

ครอบครัวมีขนาดเล็กลง ใช้จ่ายน้อยลง 

โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าเด็ก เช่น เสื้อผ้า ของเล่น นมผง 

ผู้สูงอายุเองก็ต้องออมเงินไว้ดูแลตัวเองมากกว่าการใช้จ่าย ทำให้ระบบเศรษฐกิจโตช้าลง


ขณะที่ภาครัฐเองก็มีค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุขสูงขึ้น

ระบบสาธารณสุขต้องรองรับผู้สูงอายุจำนวนมาก

ค่าใช้จ่ายในการรักษาโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดัน หัวใจ เพิ่มขึ้น

และหากไม่มีการเตรียมการที่ดีพอ อาจเลวร้ายถึงขั้นระบบสาธารณสุขอาจล่มสลายได้เลย


ส่วนภาพรวมของการเติบโตทางเศรษฐกิจเองหนีไม่พ้นภาวะชะลอตัว

ประชากรวัยทำงานน้อยลง หมายถึง ผลิตภาพของประเทศลดลง

ความสามารถในการแข่งขันของประเทศอ่อนแอลง

การดึงดูดการลงทุนต่างชาติ (FDI) ลดลง 

เนื่องจากขาดแรงงานคุณภาพและตลาดผู้บริโภคขนาดใหญ่


แนวทางในการปรับนโยบายที่หลายประเทศเร่งเตรียมพร้อม 

เช่น    ส่งเสริมการมีบุตรโดยให้เงินสนับสนุน

ขยายอายุเกษียณเพื่อรักษากำลังแรงงาน

ดึงดูดแรงงานต่างชาติ

ลงทุนในระบบอัตโนมัติ/AI เพื่อลดการพึ่งแรงงานคน


เวียดนาม อยากให้คนมีลูกมากขึ้น เพราะกลัวว่าประเทศจะไม่โตได้อย่างต่อเนื่อง

อย่างที่ตั้งใจตั้งเป้าหมายเอาไว้  วันนี้จึงยอมแก้กฎหมายห้ามมีลูกเกิน 2 คนที่มีมายาวนาน

เพราะเด็กเกิดใหม่ และวัยแรงงานเป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างยิ่ง

สำหรับการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะเป้าหมายใหญ่ของรัฐบาลของเวียดนาม

กับการเป็นประเทศรายได้สูง และเป็นประเทศพัฒนาแล้ว ในยี่สิบปีหลังจากนี้ 


ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง