STCปั๊มงบโต10% อัดฉีดงบ100ล้าน ดันกำลังผลิตเพิ่ม

ทันหุ้น - STC ปักเป้ารายได้ปี 2565 เติบโตไม่ต่ำกว่า 10% หลังรัฐคลายล็อก เอกชนเริ่มกลับมาลงทุน พร้อมทุ่มงบกว่า 100 ล้านบาท อัพกำลังการผลิตเพิ่ม 35% ส่งซิกแนวโน้มผลงานไตรมาส 4/2564 ฟื้นตัว จ่อรับรู้รายได้จากแบ็กล็อกไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท
นายเอกชัย ชัยตระกูลทอง กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสทีซี คอนกรีตโปรดัคท์ จำกัด (มหาชน) หรือ STC ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์คอนกรีตสำเร็จรูป คอนกรีตผสมเสร็จ และบริการอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับงานตอกเสาเข็ม และปั๊มคอนกรีต ชั้นนำ เปิดเผยว่า แผนการดำเนินงานในปี 2565 บริษัทวางเป้าหมายการเติบโตของรายได้ไว้ไม่น้อยกว่า 10% จากปีนี้ โดยมองว่าจากการที่สถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่คลายตัวลง รวมถึงการปลดล็อกดาวน์และการท่องเที่ยวของภาครัฐสนับสนุนให้ภาคเอกชนโดยเฉพาะในพื้นที่ชลบุรีและพัทยา ที่เคยชะลอการลงทุนก่อนหน้านี้ เริ่มกลับมาเดินหน้าลงทุนต่ออีกครั้ง
*รักษามาร์จิ้น 27-28%
ทั้งนี้ในปีหน้าบริษัทยังคงให้ความสำคัญในการบริหารจัดการต้นทุนค่าใช้จ่ายและการผลิตให้อยู่ในระดับที่ดีและเหมาะสม อย่างไรก็ดี วางเป้าหมายจะรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้นไว้ที่ไม่ต่ำกว่า 27-28% และอัตรากำไรสุทธิไว้ที่ไม่ต่ำกว่า 2%
ขณะเดียวกันบริษัทยังคงมีความสนใจ และมีงานที่อยู่ระหว่างการประมูลทั้งในส่วนของภาครัฐ และเอกชนอีกหลายโครงการ โดยบริษัทคาดว่ามีโอกาสจะชนะการประมูลมากถึง 80-90% เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นงานต่อเนื่องจากโครงการเดิมที่บริษัทเคยได้รับมาแล้วก่อนหน้านี้ เบื้องต้นคาดว่าจะทยอยเห็นความชัดเจนในช่วงปลายปีนี้เป็นต้นไป
ขณะที่ปัจจุบันบริษัทที่มีงานในมือรอการทยอยส่งมอบและรับรู้รายได้ (Backlog) กว่า 592 ล้านบาท แบ่งเป็นงานที่เซ้นสัญญาแล้ว 213.66 ล้านบาท และอยู่ระหว่างรอเซ็นสัญญาเข้ามาเพิ่มอีก 373.90 ล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทยังเดินหน้าลงทุนขยายกำลังการผลิตคอนกรีตสำเร็จรูปไลน์ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มกำลังการผลิต และประสิทธิภาพการผลิตสินค้าให้ครบวงจร รวมถึงเพิ่มความเร็วในการผลิตให้เพียงพอรองรับต่อความต้องการของลูกค้าที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก
ทุ่มลงทุน 100 ล้าน
สำหรับแผนการลงทุนก่อสร้างโรงงานนาวัง เฟสที่ 3 ปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้างคาดแล้วเสร็จพร้อมเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ ในไตรมาส 1/2565 จากนั้นจะลงทุนขยายกำลังการผลิตในโรงงานนาวัง เฟส 4 ต่อไป ซึ่งจะเข้ามาเพิ่มกำลังการผลิตได้มากถึง 35% จากกำลังการผลิตปัจจุบัน เบื้องต้นคาดว่าจะให้งบประมาณลงทุนมากกว่า 100 ล้านบาท
ส่วนแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/2564 คาดว่าจะมีการฟื้นตัวที่ดีขึ้นอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับไตรมาส 3/2564 หลักๆ เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดและเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัวกลับมาก สังเกตได้จากในตอนนี้การท่องเที่ยวพัทยาและชลบุรีเริ่มกลับมามีความคึกคักมากขึ้น สะท้อนต่อความเชื่อมั่นในการกลับลงทุนต่อของภาคเอกชน
อย่างไรก็ดี คาดว่าในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้คาดจะรับรู้รายได้จาก Backlog เข้ามาได้ไม่น้อยกว่า 100 ล้านบาท ขณะที่แบ็กล็อกในส่วนที่เหลือคาดรับรู้ในปี 2565 ได้ทั้งหมด