SMDเฮ!กม.บังคับตั้งAED เครื่องมือแพทย์ICUขายดี

ทันหุ้น – SMD โดดรับกฎหมายบังคับให้ตึกสูงต้องมีเครื่องกระตุกหัวใจ AED คาดติดตั้ง 2 แสนเครื่องภายใน 5 ปี หนุนยอดขายเข้ากระเป๋าเพิ่มไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท ขณะที่ยอดขายเครื่องมือแพทย์ช่วงโควิดระบาดหนักพุ่งขึ้น แถมยังมีชุดตรวจโควิดแรพิด เทสต์ คาดกำไรไตรมาส 2/64 ทำสถิติสูงสุดใหม่ และออกมาดีเกินคาด เป้า 17.00 บาท

ดร.วิโรจน์ วสุศุทธิกุลกานต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซนต์เมด จำกัด (มหาชน) หรือ SMD ผู้ดำเนินการจัดจำหน่ายเครื่องมือแพทย์เฉพาะทางด้านระบบการหายใจและช่วยชีวิต เปิดเผยว่า อีกก้าวสำคัญหนึ่งของการยกระดับมาตรฐานการช่วยชีวิตฉุกเฉินภาคประชาชนในประเทศไทย เมื่อกระทรวงมหาดไทยประกาศกฎกระทรวง กำหนดให้อาคารสูงหรืออาคารขนาดใหญ่พิเศษที่เป็นอาคารสาธารณะ ต้องติดตั้งเครื่องกระตุกหัวใจอัตโนมัติ หรือ AED (Automated External Defibrillator) และต้องมีพื้นที่สำหรับรถฉุกเฉิน รวมถึงต้องจัดให้มีลิฟต์ที่มีขนาดสำหรับเคลื่อนย้ายผู้ป่วยฉุกเฉินได้ โดยจะมีผลบังคับใช้นับจากวันที่ประกาศ (4 มิ.ย.64) ในอีก 180 วัน

รับทรัพย์ 100 ล.

สอดคล้องกับการดำเนินธุรกิจของบริษัท โดยในปัจจุบัน SMD ได้นำเข้าและจัดจำหน่ายเครื่องมือประเภทนี้ให้แก่โรงพยาบาลทั้งภาครัฐและเอกชนอยู่แล้ว โดยประเมินว่าเมื่อภาครัฐมีมาตรการดังกล่าวข้างต้น จะส่งผลดีต่อยอดคำสั่งซื้อของ SMD ให้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งคาดว่าจะมีเข้ามาไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน)  ระบุถึง บริษัท เซนต์เมด จำกัด (มหาชน) หรือ SMD เปิดเผยว่า แนะนำ “ซื้อ” และปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 17.00 บาท (เดิม 14.00 บาท) โดยได้ Roll-Over ราคาเป้าหมายไปปี 2565 และ Re-Rate PER ลงมาเล็กน้อยที่ 22.0x (Avg Peer 23.0x)

เชื่อยอดขายพุ่งขึ้น

โดยมีมุมมองเป็นบวกมากขึ้นต่อ Outlook ของบริษัทที่คาดว่ารายได้จากการขายอุปกรณ์ทางการแพทย์จะดีช่วงการระบาดที่รุนแรงของโควิด-19 ซึ่งมีความมั่นใจมากขึ้นว่าบริษัทจะมียอดขายเพิ่มขึ้นจากชุดตรวจโควิด Rapid Test Kit (RTK) ที่คาดว่าจะผ่านอย.เร็วๆ นี้ และเครื่องกระตุกหัวใจ (AED) ที่กฎหมายเกี่ยวกับการติดตั้ง AED ในตึกสูงทุกตึกจะมีผลบังคับใช้ในไตรมาส 1/2565 ดังนั้นจึงได้รวมรายได้จาก RTK และ AED เข้ามาในประมาณการของเรา

ทางฝ่ายปรับกำไรสุทธิปี 2564 ขึ้นมา +10% ที่ 136 ล้านบาท (+75% YoY) หลักๆ มาจากการปรับรายได้ขึ้นมาที่ 1.12 พันล้านบาท (+70% YoY) หนุนโดยยอดขายเครื่องมือแพทย์ที่ใช้ในห้อง ICU และ Semi ICU และเครื่องตรวจโควิด RTK

นอกจากนี้ ได้ปรับกำไรสุทธิปี 2565 ขึ้นมา +12% ที่ 163 ล้านบาท (+21% YoY) โดยเรามองว่าบริษัทมีโอกาสได้ Market Share จากการขายเครื่องกระตุกหัวใจ AED อย่างน้อย 5% อีกทั้งยังจะเดินหน้าธุรกิจเครื่องมือแพทย์ให้เช่าและ Sleep Lab

ไตรมาส 2 ดีเกินคาด

ทั้งนี้คาดว่ากำไรไตรมาส 2/2564 จะออกมาดีเหนือตลาดคาด ปัจจุบันราคาหุ้นเทรดที่ PER ปี 2565 อยู่ที่ 17.9x ถือว่ายังไม่แพงเมื่อเทียบกับ EPS ที่จะมี CAGR (2020-23E) เติบโตถึง +34%

อย่างไรก็ตามทางฝ่าได้เพิ่มรายได้จากการขาย RTK และ AED ได้รวมรายได้จากการขาย Rapid Test Kit รวม100 ล้านบาท เข้ามาในประมาณการปี 2564 ซึ่งบริษัทได้ผ่านขั้นตอนการทดลอง 2,000 Strip ไปแล้วปัจจุบันจึงอยู่ระหว่างการขึ้นอย. แบบ Fast Track ซึ่งจะรู้ผลใน 1-2อาทิตย์ข้างหน้านี้ เนื่องจากโควิดมีการระบาดค่อนข้างรุนแรง เราคาดว่ารัฐบาลจะเร่งซื้อเครื่องมือตรวจโควิดเพื่อตรวจหาผู้ป่วยเชิงรุก

นอกจากนี้ เนื่องจากกฎหมายจะบังคับให้ตึกสูง (เกิน 8ชั้น) ทุกตึกจะต้องมีเครื่องกระตุกหัวใจ AED อย่างน้อย 1 เครื่อง โดยมีผลบังคับใช้ใน 6 เดือน เราประเมินว่าจะมีเครื่องกระตุกหัวใจติดตั้งตามตึกสูงราว 2แสนเครื่อง ภายใน 5 ปี (ปัจจุบันมีอยู่แล้ว 3 หมื่นเครื่อง) ตกเป็นยอดขายปีละ 3.4 หมื่นเครื่อง ด้วย Assumption ในกรณี Worst Case ที่ SMD จะมี Market Share 5%ด้วยราคาเฉลี่ย 8 หมื่นบาทต่อเครื่อง จะทำให้บริษัทมียอดขายเพิ่มขึ้นราว 136 ล้านบาทในปี 2565

อัพกำไรขึ้น 10%

ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2564-2565 ขึ้น +10%/+12% เราปรับกำไรสุทธิปี 2564 ขึ้นมา +10% ที่ 136 ล้านบาท (+75% YoY) หลักๆ มาจากการปรับรายได้ขึ้นมาที่ 1.12 พันล้านบาท (+70% YoY) หนุนโดยยอดขายเครื่องมือแพทย์ที่ใช้ในห้อง ICU และ Semi  ICU และเครื่องตรวจโควิด RTK

ทั้งนี้ คาดว่ากำไรไตรมาส 2/2564 จะทำสถิติสูงสุดใหม่และอาจจะสูงกว่าที่เราคาดก่อนหน้านี้ที่ 44 ล้านบาท (+42%YoY, +448%QoQ) เนื่องจากช่วงโควิดระบาดทำให้มีความต้องการเครื่องมือแพทย์อย่างเร่งด่วนและจำนวนมาก ลูกค้าจึงเป็นฝ่ายเข้ามาหาบริษัททำให้ SG&A/Sales ลดลงค่อนข้างมาก