การศึกษาถูกบีบให้ถอยหลัง? ทำอนาคตเด็ก “ชะงักทั้งรุ่น” ไฟชายแดนเขย่าโครงสร้างการเรียนรู้ทั้งระบบ

สงครามชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาที่ลุกลามต่อเนื่องเกือบทั้งปี 2568 กำลังทิ้งร่องรอยลึกในชีวิตของเด็กไทยในพื้นที่แนวหน้า ตั้งแต่เสียงปืนที่ดังซ้ำแล้วซ้ำเล่า การอพยพหนีภัยในเวลากลางคืน ไปจนถึงห้องเรียนที่ต้องปิดอย่างไม่มีกำหนด เด็กหลายหมื่นคนกำลังเติบโตในปีที่คำว่าอนาคตปลอดภัยกลายเป็นเรื่องไม่แน่นอน
ภาพรวมผลกระทบต่อการศึกษา เมื่อโรงเรียนต้องปิดยกแถบ
การปะทะช่วงวันที่ 7 ถึง 8 ธันวาคม 2568 ทำให้กระทรวงศึกษาธิการต้องประกาศปิดโรงเรียนรวม 990 แห่งใน 5 จังหวัดชายแดน ได้แก่ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และสระแก้ว โดยหลายแห่งยังไม่รู้วันเปิดเรียนที่ชัดเจน
ตัวเลขแยกรายจังหวัดชี้ให้เห็นขนาดของปัญหาอย่างชัดเจน สุรินทร์ปิดโรงเรียน 145 แห่ง ศรีสะเกษ 170 แห่ง อุบลราชธานี 54 แห่ง บุรีรัมย์ 127 แห่ง และสระแก้ว 147 แห่ง เป็นการหยุดการเรียนการสอนพร้อมกันในวงกว้างที่สุดครั้งหนึ่งในรอบหลายปี
สถานการณ์นี้ไม่ใช่ครั้งแรก นับจากการปะทะรุนแรงเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 โรงเรียนเคยถูกสั่งปิดไปแล้ว 641 ถึง 751 แห่ง และในช่วงกรกฎาคมถึงสิงหาคม องค์กรด้านเด็กระดับนานาชาติประเมินว่า มีโรงเรียนในพื้นที่ขัดแย้งปิดสะสมมากกว่า 1,200 แห่ง เด็กหลายหมื่นคนจึงต้องหยุดเรียนเป็นระยะยาว โดยแทบไม่มีทางเลือกอื่น
การสูญเสียชีวิตเด็กในสมรภูมิชายแดน
ในบางพื้นที่ ความสูญเสียเกินกว่าการเลื่อนสอบหรือการขาดเรียน ข้อมูลจากหน่วยงานด้านสาธารณสุขและการเมืองระบุว่า เหตุปะทะรอบแรกทำให้จังหวัดสุรินทร์มีเด็กอายุ 8 ปีเสียชีวิต 1 คน ส่วนจังหวัดศรีสะเกษมีเด็กอายุ 15 ปีเสียชีวิต 1 คน สำนักงานด้านการศึกษายืนยันว่า ตลอดเหตุปะทะปีนี้มีนักเรียนไทยเสียชีวิตอย่างน้อย 5 คน ขณะที่ข้อมูลจากแหล่งสากลบางส่วนประเมินว่า เด็กที่เสียชีวิตรวมทั้งสองฝ่ายอาจสูงถึง 15 คน
Learning Loss เมื่อการเรียนรู้ชะงักกลางทาง
กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาและนักวิชาการด้านการเรียนรู้เตือนว่า จุดวิกฤตที่ตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้คือภาวะการเรียนรู้ถดถอย เด็กต้องหยุดเรียนเป็นช่วงยาว สลับระหว่างบ้าน โรงเรียน และศูนย์พักพิง จังหวะการเรียนรู้ที่เคยต่อเนื่องขาดหายไป
เด็กที่ย้ายเข้าอยู่ศูนย์อพยพไม่มีห้องเรียนประจำ ไม่มีครูประจำชั้น ไม่มีโต๊ะเรียนและสมุดแบบเดียวกับช่วงปกติ โครงสร้างชีวิตประจำวันที่เคยมีทั้งเวลาไปโรงเรียน ทำการบ้าน เล่นกับเพื่อน และร่วมกิจกรรมโรงเรียน ถูกแทนที่ด้วยเสียงประกาศ การรอรับสิ่งของ และการใช้ชีวิตในพื้นที่จำกัด ส่งผลให้สมาธิ ทักษะคิดวิเคราะห์ และทักษะการเข้าสังคมพัฒนาได้ช้าลง
ความเสี่ยงที่น่ากังวลคือ เด็กจากครอบครัวยากจนหรือครอบครัวที่สูญเสียรายได้จากการหนีภัยอาจไม่ได้กลับเข้าสู่ระบบการศึกษา แม้โรงเรียนจะเปิดเรียนได้ตามปกติ เด็กบางคนอาจถูกดึงให้ช่วยทำงานหรือดูแลคนในบ้านแทนการกลับไปนั่งในห้องเรียน
ความพยายามประคองระบบการเรียนกลางวิกฤต
ท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียด กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานด้านการศึกษาพยายามลดผลกระทบด้วยมาตรการเร่งด่วน มีการจัดถุงการเรียนรู้แจกเด็กในศูนย์พักพิง ใส่หนังสือ ใบงาน และอุปกรณ์เบื้องต้น เพื่อให้เด็กยังมีสื่อการเรียนในมือขณะอยู่ไกลจากโรงเรียนจริง
นอกจากนี้ โรงเรียนและเขตพื้นที่การศึกษาจัดการเรียนแบบใบงานสำหรับนักเรียนที่ไม่มีอินเทอร์เน็ต และใช้การเรียนออนไลน์ในพื้นที่ที่ยังเชื่อมต่อได้ ขณะเดียวกัน กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาและภาคีเครือข่ายได้จัดตั้งศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้ใน 4 จังหวัดชายแดน เน้นรูปแบบการเรียนรู้ยืดหยุ่นที่ผสมผสานกิจกรรมเยียวยาสภาพจิตใจกับการเสริมทักษะชีวิต
ด้านอาชีวศึกษาเข้ามาช่วยเสริมผ่านครัวอาชีวะในศูนย์อพยพ ดูแลอาหารประชาชน และช่วยซ่อมแซมอุปกรณ์สำคัญของโรงเรียนและชุมชน เพื่อให้กลับมาใช้งานได้โดยเร็วที่สุด เป็นการผูกโยงการช่วยเหลือทางมนุษยธรรมเข้ากับการคงความพร้อมของระบบการศึกษาในระยะกลาง
เด็กในขบวนอพยพ เมื่อบ้านและโรงเรียนกลายเป็นความทรงจำ
การปะทะชายแดนรุนแรงทำให้คำสั่งอพยพกลายเป็นสิ่งที่ประชาชนเลี่ยงไม่ได้ ในระลอกต้นเดือนธันวาคม กองทัพภาคที่ 2 ประเมินว่า ประชากรราวร้อยละ 70 ในพื้นที่ชายแดน 4 จังหวัดต้องออกจากบ้าน มีผู้ลงทะเบียนในศูนย์พักพิงมากกว่า 35,623 คน ขณะที่ข้อมูลจากหน่วยงานอื่นชี้ว่า หากนับประชาชนใน 12 อำเภอชายแดน ตัวเลขผู้อพยพอาจสูงถึง 360,000 คน
รัฐบาลและหน่วยงานในพื้นที่จัดตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราวใน 7 จังหวัดชายแดนรวม 603 แห่ง รองรับประชาชนได้มากกว่า 370,000 คน โดยมีผู้เข้าไปพักแล้วประมาณ 130,000 คน ตัวเลขเหล่านี้ยืนยันว่า เด็กจำนวนมากต้องย้ายชีวิตจากบ้านและโรงเรียนไปอยู่ในพื้นที่ชั่วคราวภายในเวลาไม่กี่วัน
การเปลี่ยนฉากชีวิตอย่างฉับพลันทำให้เด็กจำนวนมากรู้สึกไม่มั่นคง จากบ้านที่เคยมีมุมประจำ ห้องนอน หรือสนามที่คุ้นเคย กลายเป็นเตียงรวมในฮอลล์ใหญ่หรืออาคารชั่วคราว พื้นที่วิ่งเล่นถูกจำกัดด้วยข้อกำหนดด้านความปลอดภัยและความแออัด หลายครอบครัวใช้ชีวิตใต้หลังคาเดียวกับคนอื่นนับร้อย การมีพื้นที่ส่วนตัวแทบกลายเป็นเรื่องหายาก
ยังมีรายงานว่ามีประชาชนเสียชีวิตระหว่างการอพยพจากโรคประจำตัว และมีผู้เสียชีวิตบางส่วนในศูนย์พักพิง ความสูญเสียเหล่านี้ซ้อนทับไปกับความกลัวที่เกิดจากเสียงปืนและข่าวการปะทะ ทำให้ปี 2568 กลายเป็นปีที่เด็กชายแดนจำนวนมากต้องเก็บความทรงจำเกี่ยวกับสงครามไว้ตั้งแต่วัยประถม
โลกภายในใจของเด็ก เมื่อเสียงระเบิดตามไปถึงในฝัน
ผลกระทบที่ไม่ปรากฏในสถิติอย่างเป็นทางการคือโลกภายในใจของเด็กในแนวชายแดน เจ้าหน้าที่ในศูนย์อพยพเล่าว่า เด็กเล็กหลายคนร้องไห้ทันทีเมื่อได้ยินเสียงดังหรือรู้สึกสั่น เด็กบางคนตื่นกลางดึกเพราะฝันร้ายเกี่ยวกับเหตุระเบิดที่เคยเห็นมากับตา มีเด็กที่กลายเป็นคนเงียบขรึม ไม่อยากเล่น ไม่อยากพูดกับเพื่อน
ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตชี้ว่า เด็กที่สั่งสมประสบการณ์ความกลัวอย่างรุนแรงมีความเสี่ยงต่อภาวะเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนใจ อาการอาจปรากฏในรูปของภาพความทรงจำย้อนกลับ การฝันร้าย นอนไม่หลับ ความวิตกกังวล หรือความรู้สึกหมดแรงใจ ขณะเดียวกัน เด็กบางกลุ่มอาจตอบสนองด้วยการก้าวร้าว หงุดหงิดง่าย หรือใช้ความรุนแรงกับเพื่อนมากขึ้น
งานวิจัยจำนวนมากย้ำว่า เด็กเรียนรู้ว่าโลกปลอดภัยหรือไม่ผ่านสายตาและพฤติกรรมของพ่อแม่ หากผู้ใหญ่รอบตัวเคร่งเครียด ติดตามข่าวการปะทะตลอดทั้งวัน และพูดถึงอนาคตด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจ เด็กก็จะซึมซับความรู้สึกไม่ปลอดภัยเช่นเดียวกัน
กลุ่มเด็กที่ต้องการการดูแลใกล้ชิด
ท่ามกลางภาพรวมที่หนักหนา นักวิชาการด้านเด็กระบุว่า มี 4 กลุ่มที่เสี่ยงสูงกว่าคนอื่น คือ เด็กเล็กในช่วงปฐมวัยถึงประถมที่ยังไม่อธิบายความรู้สึกของตัวเองได้ชัดเจน เด็กที่เคยผ่านเหตุปะทะมาก่อนแล้วต้องเจอซ้ำอีกครั้งในปีเดียวกัน เด็กที่สูญเสียบ้าน คนในครอบครัว หรือทรัพย์สินสำคัญ และเด็กที่มีโรคประจำตัวซึ่งได้รับผลกระทบจากการเข้าถึงบริการสาธารณสุขที่จำกัดในศูนย์อพยพ
กลุ่มนี้ต้องการการดูแลทั้งด้านการแพทย์ สุขภาพจิต และการศึกษาอย่างใกล้ชิด เพราะผลกระทบไม่ได้อยู่แค่ในปีนี้ แต่อาจลามไปถึงการเรียน การปรับตัวในสังคม และการทำงานเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่
พื้นที่ปลอดภัยและการเยียวยาที่เริ่มต้นแล้ว แต่ยังไม่เพียงพอ
เพื่อลดแรงกระแทกในใจเด็ก องค์กรด้านการศึกษาและสิทธิเด็กทั้งไทยและต่างประเทศได้จัดพื้นที่ปลอดภัยในศูนย์พักพิง ให้เด็กได้เล่น วาดรูป อ่านหนังสือ และพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญในสภาพแวดล้อมที่ออกแบบมาเฉพาะ เด็กบางกลุ่มเข้าร่วมกิจกรรมที่เน้นการควบคุมอารมณ์ การแก้ปัญหา และการมองโลกในทางที่ยังมีความหวัง
กรมสุขภาพจิตและหน่วยงานด้านสังคมได้ส่งทีมดูแลสุขภาพจิตเคลื่อนที่ลงพื้นที่ ให้คำปรึกษาแก่เด็กและครอบครัว พร้อมจัดอบรมให้ผู้ปกครองรู้วิธีสังเกตสัญญาณเตือน หากเด็กมีพฤติกรรมเปลี่ยนไปในระยะยาว เช่น เก็บตัวมากผิดปกติ ฝันร้ายซ้ำ หรือก้าวร้าวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
องค์กรด้านมนุษยธรรมยังดูแลด้านอาหาร น้ำสะอาด สุขอนามัย โภชนาการเด็กเล็ก รวมถึงที่พักและของใช้จำเป็น เพื่อให้ครอบครัวมีฐานความเป็นอยู่ที่พอรับมือกับความเครียดเฉียบพลัน ก่อนจะค่อยๆ ฟื้นฟูตัวเองในระยะต่อไป
อนาคตเด็กชายแดน เมื่อคำถามใหญ่กว่าเสียงปืน
เมื่อมองย้อนจากตัวเลขทั้งหมด ปี 2568 คือปีที่โรงเรียนในชายแดนไทยเคยถูกปิดพร้อมกันมากกว่าหนึ่งครั้ง ตัวเลขล่าสุดระบุว่าโรงเรียน 990 แห่งต้องหยุดสอน ประชาชนอพยพตั้งแต่ 35,623 คนไปจนถึงระดับราว 360,000 คน เด็กเสียชีวิตอย่างน้อย 5 คน และเด็กอีกหลายพันคนใช้ชีวิตในศูนย์พักพิงที่ไม่เอื้อต่อการพัฒนา
คำถามที่ใหญ่กว่าเสียงปืนคือ สังคมไทยพร้อมแค่ไหนที่จะลงทุนเวลา งบประมาณ และความใส่ใจ เพื่อฟื้นฟูเด็กกลุ่มนี้ให้กลับมายืนได้อย่างมั่นคง ทั้งด้านการศึกษา สุขภาพจิต และคุณภาพชีวิต เพราะหากบาดแผลในวันนี้ไม่ได้รับการดูแลอย่างจริงจัง ผลของสงครามชายแดนในปีนี้อาจขยายไปเป็นปัญหาสุขภาพจิต การศึกษาหลุดจากระบบ และความเหลื่อมล้ำระยะยาวในคนหลายรุ่นต่อไป
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
