รีเซต

เผยผลวิจัย กินผักผลไม้-ธัญพืช ลดเสี่ยงติดโควิด 9 % แนะ 10 อาหารบำรุงปอด

เผยผลวิจัย กินผักผลไม้-ธัญพืช ลดเสี่ยงติดโควิด 9 % แนะ 10 อาหารบำรุงปอด
ข่าวสด
28 เมษายน 2565 ( 17:01 )
86
เผยผลวิจัย กินผักผลไม้-ธัญพืช ลดเสี่ยงติดโควิด 9 % แนะ 10 อาหารบำรุงปอด

กรมอนามัย เผยผลวิจัย กินผัก-ผลไม้ ธัญพืชในมื้อหลัก ช่วยลดเสี่ยงติดโควิด 9 % ลดเสี่ยงติดเชื้อรุนแรง 41% แนะ 10 อาหารช่วยบำรุงปอด

 

วันที่ 28 เม.ย.65 พญ.สายพิณ โชติวิเชียร ผอ.สำนักโภชนาการ กรมอนามัย กล่าวว่า ช่วงปีที่ผ่านมามีงานศึกษาที่ทำให้เห็นความสำคัญของรูปแบบการกินอาหารต่อความเสี่ยงและความรุนแรงของโรคโควิด 19 มากขึ้น อย่างผลการศึกษาของทีมวิจัยฮาร์เวิร์ด และคิงส์ คอลเลจ สหรัฐอเมริกาและอังกฤษ ที่ได้ติดตามคนอายุ 18 ปี จำนวน 592,571 คน พบว่า คนที่มีรูปแบบการกินอาหารที่มีผักผลไม้ ธัญพืชเป็นส่วนประกอบใหญ่ในมื้อหลักของอาหาร จะมีความเสี่ยงต่อการติดโควิด 19 ลดลง 9% และอาการรุนแรงจากการติดเชื้อลดลง 41%

 


รวมถึงพบว่า ผู้ที่มีกินอาหารที่มีพืชผัก ผลไม้ ธัญพืชเป็นหลัก ลดบริโภคเนื้อแดง และอาหารแปรรูป ความเสี่ยงที่จะมีอาการโควิด 19 ปานกลางถึงรุนแรงลดลง 73% ดังนั้น การกินอาหารให้ถูกหลักโภชนาการเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย มีความสำคัญในการป้องกันและลดความรุนแรงของโรค ซึ่งสอดคล้องกับองค์การอนามัยโลก (WHO) ที่มีคำแนะนำปี 2563 ว่า

 

1.กินอาหารให้หลากหลาย รวมทั้ง ผักและผลไม้ทุกวัน ควรรับประทานธัญพืชเต็มเมล็ด กินโปรตีนทั้งจากพืชและสัตว์ เลือกชนิดไม่ติดมัน กินปลา ไข่และนม

 

2.ลดการบริโภคเกลือ ควรได้รับไม่เกิน 1 ช้อนชาต่อวัน ใช้เกลือไอโอดีน จำกัดการบริโภคน้ำตาล จำกัดการบริโภคของหวานและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล เช่น น้ำอัดลม น้ำผลไม้และเครื่องดื่มน้ำผลไม้

 

3.กินไขมันและน้ำมันในปริมาณปานกลาง เลือกแหล่งอาหารที่มีไขมันไม่อิ่มตัว เช่น ปลา ถั่ว น้ำมันมะกอก น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันดอกทานตะวัน

 

4.เลี่ยงการกินอาหาแปรรูป หรือเนื้อสัตว์แปรรูป ซึ่งจะมีปริมาณไขมันและเกลือที่สูง และดื่มน้ำวันละ 8-10 แก้ว หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

 

พญ.สายพิณ กล่าวว่า การกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพและมีสารอาหารครบถ้วน ทำให้ภูมิคุ้มกันทำงานได้อย่างเหมาะสม มีประสิทธิภาพ ทำให้ร่างกาย ฟื้นตัวได้เร็ว โดยอาหารที่แนะนำเป็นอาหารที่ย่อยง่าย ให้ร่างกายสามารถดึงพลังงานจากอาหารไปใช้ได้อย่างรวดเร็ว และช่วยหลีกเลี่ยงอาการจุกเสียดแน่นท้องได้

 

ไข่ต้มสุก สารต้านอนุมูลอิสระ และวิตามินชนิดต่างๆที่มีส่วนช่วยเสริมภูมิคุ้มกันในร่างกายได้อย่างดี, ซุปและน้ำแกง เมนูที่ผู้ป่วยสามารถซดน้ำได้ แต่ไม่ให้มีรสชาติที่จัดจ้านและไม่ควรมีน้ำมัน เพราะอาจทำให้เกิดอาการคันคอ ไอหนักขึ้นได้

ผัก ผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง จะมีส่วนช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกาย ทำให้ร่างกายสามารถต่อสู้กับโควิด19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และผักและสมุนไพร ผ่านการปรุงเป็นอาหารหรือเครื่องดื่มได้ตามความเหมาะสม แต่ไม่แนะนำให้ปรุงอาหารแบบผัดด้วยน้ำมัน เพราะจะกระตุ้นให้เกิดอาการระคายคอได้

 

โดย 10 อาหารบำรุงปอด ได้แก่ 1.ขิง ช่วยต้านการอักเสบ 2.พริกหวาน ช่วยต้านอนุมูลอิสระ 3.แอปเปิ้ล มีใยอาหาร วิตามินซี 4.ฟักทอง มีสารอาหารบำรุงปอด 5.ขมิ้นชัน สารเคอร์คูมิน ดีต่อปอด

 

6.มะเขือเทศ ช่วยลดการอักเสบ 7.ธัญพืช มีเส้นใยสูง ดีต่อปอด 8.น้ำมันมะกอก ป้องกันโรคทางเดินหายใจ 9.หอยนางรม มีแร่ธาตุที่ดีตอ่ปอด และ10.เบอร์รี่ ต้านอนุมูลอิสระได้ดี

 

ด้าน นพ.อุดม อัศวุตมางกุร ผอ.กองกิจกรรมทางกายเพื่อสุขภาพ กรมอนามัย กล่าวว่า ต้องกระตุ้นให้คนไทยมีกิจกรรรทางกาย และออกกำลังกายอย่างเพียงพอ คำแนะนำในการมีกิจกรรมทางกายที่เพียงพอสำหรับคนไทย เริ่มจากการทำงาน ถ้าทำนา ทำไร่ ทำสวน มีการออกแรงที่มากพอ

 

แต่ส่วนใหญ่อยู่ในออฟฟิศนั่งทั้งวัน 8 ชั่วโมง ต้องขึ้นบันไดแทนการใช้ลิฟต์ ไปไหนมาไหนลดการใช้รถส่วนตัว ถ้าส่งเสริมให้มีการเดินและขี่จักรยานมากขึ้น ทำแต่ละวันมีออกแรงที่เหมาะสม ช่วงเลือกงานควรส่งเสริมให้ออกกำลังกายให้ร่างกายฟิตตลอดวเลา

 

ทั้งนี้ WHO แนะนำให้มีกิจกรรมทางกายระดับปานกลางอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ หรือ 30 นาทีต่อวัน แปลว่าการเคลี่อนไหวร่างกายให้มีการเหนื่อย หัวใจเต้นเร็วขึ้น หายใจเพิ่มขึ้นแต่ยังพูดเป็นประโยค ทั้งการเดิน การวิ่ง รวมถึง การสร้างกล้ามเนื้อควรทำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ทั้งการยกน้ำหนัก การซฺทอัพ เป็นต้น ส่าวนนัผู้สูงอายุ ควรฝุกการทรงตัว เช่น เต้นแอโรบิก รำไทชิก และลดพฤติรรมเนือยนิ่ง


สำหรับสุขอนามัยที่สำคัญอีกเรื่องในวิถีชีวิต 8 ชั่วโมงต่อวัน คือ การนอน เพราะเป็นช่วงที่โกรทฮอร์โมนหลั่งได้เต็มที่ หากเป็นในเด็กจะทำให้เกิดการสูงดี สมส่วน ในวัยผู้ใหญ่และสูงอายุ ฮอร์โมนนี้จะสั่งมาเพื่อซ่อมแซมส่วนต่างๆของร่างกาย เซลล์ต่างๆ ทำให้อ่อนวัยและลดการเกิดโรคต่างๆ

 

ทั้งนี้ หลัก 10 ประการเพื่อสุขอนามัยการนอนหลับที่ดี คือ 1.เข้านอนและตื่นนอนให้ตรงเวลาเป็นประจำ 2.รับแสงแดดตอนเช้าอย่างน้อย 30 นาที 3.ไม่ควรนอนในเวลากลางวัน หากงีบหลับไม่ควรเกิน 30 นาที 4.ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ 5.หลีกเลี่ยงคาเฟอีนและอาหารมื้อดึก 4 ชั่วโมงก่อนอน

 

6.งดดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ 4 ชั่วโมงก่อนนอน 7.นอนเตียงนอนที่สบาย 8.ผ่อนคลายลดความวิตกกังวล 9.ควรใช้ห้องนอนเพื่อการนอนเท่านั้น ไม่ควรเล่นโทรศัพท์มือถือ และ10.หากไม่หลับใน 30 นาทีควรลุกไปทำกิจกรรมอื่นแล้วหลับมานอนใหม่

ข่าวที่เกี่ยวข้อง