รีเซต

เช็กลิสต์ 6 ข้อ!! ก่อนซื้อ "EV Car" รับเทรนด์รถยนต์ "New Normal "

เช็กลิสต์ 6 ข้อ!! ก่อนซื้อ "EV Car" รับเทรนด์รถยนต์ "New Normal "
TNN ช่อง16
2 กรกฎาคม 2563 ( 11:45 )
399
เช็กลิสต์ 6 ข้อ!! ก่อนซื้อ "EV Car" รับเทรนด์รถยนต์ "New Normal "

        ช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา เทรนด์ Eco-Friendly หรือ เทรนด์อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม มีผลต่อตลาดรถยนต์ในบ้านเรา โดยตอนนี้รถยนต์พลังงานทางเลือกอย่าง “รถยนต์ไฟฟ้า EV” (Electric Vehicle) กำลังถูกพูดถึงเป็นอย่างมาก และในประเทสไทยเองก็มีรถยนต์ไฟฟ้าวางจำหน่ายอยู่จำนวนไม่น้อย  ใครที่กำลังมองหาหรือจะเปลี่ยนรถใหม่และมีความสนใจอยากจะซื้อรถยนต์ไฟฟ้า อาจมีข้อสงสัยและคำถามมากมายอยู่ในหัวว่า“รถยนต์ไฟฟ้า EV” ที่ดีควรมีคุณสมบัติอะไรบ้าง  

        โดย อาจารย์ ดร.สนันตน์เขม อิชโรจน์ ภาควิชาวิศวกรรมยานยนต์ (AUTO-TU) คณะวิศวกรรมศาสตร์ ศูนย์พัทยา ได้ไขข้อสงสัยเรื่องที่ควรรู้ก่อนจะซื้อรถยนต์ไฟฟ้าไว้ดังนี้

1. เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมโดยแท้จริง 

        รถยนต์ไฟฟ้าในปัจจุบันมีอยู่ 3 ประเภทด้วยกันคือ 1. รถยนต์พลังงานไฟฟ้า EV (Electric Vehicle) 2. รถยนต์ไฟฟ้าแบบขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี อี-เพาเวอร์ (E-POWER TECHNOLOGY) และ 3. รถยนต์ไฟฟ้าไฮบริด HYBRID ELECTRIC VEHICLE (HEV) แต่ใน 3 ประเภทนี้มีแค่รถยนต์พลังงานไฟฟ้า EV (Electric Vehicle) เท่านั้น ที่ใช้เพียงพลังงานไฟฟ้าอย่างเดียว 100% โดยไม่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง ตอบโจทย์ในเรื่องการลดใช้น้ำมัน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง ซึ่งหลักการทำงานของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า EV (Electric Vehicle) ใช้เพียงแค่พลังงานไฟฟ้าในการขับเคลื่อนเท่านั้น เมื่อแบตเตอรี่หมดก็สามารถชาร์จไฟได้ ทำให้เป็นที่จับตามองของตลาดโลกเป็นอย่างมาก

2.ประหยัดค่าเชื้อเพลิงรถได้มากกว่า 3 เท่า

        แม้รถยนต์ไฟฟ้าจะมีราคาค่อนข้างสูง แต่เมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายในระยะยาว รถยนต์ไฟฟ้านับว่าเป็นทางเลือกที่น่าสนใจมากเลยทีเดียว เพราะค่าซ่อมบำรุง และค่าพลังงานไฟฟ้านั้นมีราคาถูกกว่าน้ำมันเชื้อเพลิง โดยน้ำมันนั้นมีราคาผันผวนตามตลาดโลก ส่วนค่าไฟฟ้านั้นค่อนข้างคงที่ โดยจะเสียค่าไฟครั้งละ 90-150 บาท/การชาร์จหนึ่งครั้ง หรือประมาณ 0.60 - 1 บาท/กิโลเมตร เมื่อเทียบกับราคาน้ำมันเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 3 บาท/กิโลเมตร ทำให้สามารถประหยัดค่าเชื้อเพลิงรถไปได้มากกว่า 2-3 เท่า

        ในส่วนของเครื่องยนต์นั้น รถยนต์ธรรมดาแบบใช้น้ำมันจะมีความเสื่อมของเครื่องยนต์มากกว่ารถยนต์ไฟฟ้า เพราะรถยนต์ไฟฟ้ามีส่วนประกอบน้อยกว่า และไม่ต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง ทำให้ไม่ค่อยมีค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาเครื่องยนต์เหมือนรถยนต์ทั่วไป แต่สิ่งที่ต้องระวังคือความเสียหายที่ตัวแบตเตอรี่ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่แพงที่สุดชิ้นหนึ่งของรถยนต์ไฟฟ้า ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 372,000 - 558,000 บาท/คัน ซึ่งโดยทั่วไปแล้วแบตเตอรี่มีความทนทานและมีอายุการใช้งานสูง จึงไม่ได้รับความเสียหายโดยง่าย

3.มีระบบตัดไฟเมื่อแบตเพียงพอ หมดกังวลหากชาร์จแบตทิ้งไว้

       แบตเตอรี่เป็นส่วนประกอบที่สำคัญและมีราคาสูง ทำให้หลายคนมีความกังวลและส่งผลต่อการตัดสินใจในการซื้อรถยนต์ไฟฟ้าเป็นอย่างมาก ซึ่งแบตเตอรี่และมอเตอร์ในรถยนต์ไฟฟ้านั้น มีการออกแบบระบบให้ถูกใช้ซ้ำ ๆ แม้จะมีการชาร์จบ่อยครั้ง ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการเสื่อมสภาพของแบตเตอรี่ แถมยังมีระบบที่ช่วยตัดไฟเมื่อระดับไฟฟ้าในแบตเตอรี่เพียงพอต่อการใช้งานแล้ว แต่ทั้งนี้ แบตเตอรี่ก็สามารถเสื่อมสภาพตามการใช้งานได้ โดยทั่วไปมีอายุการใช้งานของแบตเตอรี่เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 6-8 ปี ขึ้นอยู่กับ “ระยะเวลา” และ “ระยะทาง” เป็นตัวกำหนด เช่น “Nissan LEAF” มีการรับประกันอายุของ แบตเตอรี่เอาไว้ที่ 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร ส่วนด้าน “MG ZS EV” มีการรับประกันอายุของแบตเตอรี่เอาไว้ที่ 8 ปี หรือ 180,000 กิโลเมตร ซึ่งอายุการใช้งานแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าเทียบเท่ากับอายุการใช้งานของรถยนต์ทั่วไปเลยก็ว่าได้

4.เข้าถึงการชาร์จไฟหลากรูปแบบ

        ปัจจุบันการชาร์จไฟของรถยนต์มี 3 แบบ คือ Quick Charger การชาร์จด้วยไฟฟ้ากระแสตรง (DC Charging) โดยใช้ตู้ EV Charger (สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า) จ่ายไฟเข้าที่แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าโดยตรง ใช้เวลาการชาร์จ 40-60 นาที ซึ่งเป็นวิธีการชาร์จไฟที่เร็วที่สุด ใช้ได้กับหัวชาร์จ CHAdeMo นิยมใช้ในแถบเอเชีย และหัวชาร์จ CCS นิยมใช้ในยุโรปและอเมริกา Normal Charger แบบเครื่องชาร์จ Wall Box เป็นการชาร์จด้วยไฟกระแสไฟฟ้าสลับ (AC Charging) ส่วนใหญ่จะเห็นกันในรูปแบบของตู้ชาร์จติดผนังตามห้างสรรพสินค้า หรือโรงแรม ระยะเวลาในการชาร์จอาจมากถึง 4-9 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับขนาดของแบตเตอรี่ และสเปครถยนต์ไฟฟ้าแต่ละรุ่น  และ Normal Charger แบบต่อจากเต้ารับภายในบ้านโดยตรง เหมาะสำหรับคนที่ต้องการชาร์จไฟที่บ้าน เพราะใช้เวลาชาร์จนานที่สุดเฉลี่ยที่ 12-15 ชั่วโมง โดยมิเตอร์ไฟของบ้านต้องสามารถรองรับกระแสไฟฟ้าขั้นต่ำ 15(45)A และเต้ารับไฟในบ้านต้องได้รับการติดตั้งใหม่ ให้เป็นเต้ารับเฉพาะสำหรับการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า

        นอกจากนี้ ควรติดตั้งระบบตัดไฟฟ้าอัตโนมัติเมื่อชาร์จเต็มหรือเกิดเหตุฉุกเฉิน ปัจจุบันบริษัทเอกชนหลายแห่งมีการนำตัวชาร์จนี้เข้ามาจำหน่ายและพร้อมให้บริการติดตั้งตามบ้านแล้ว

5.มีหลากแบรนด์ดัง หลายสัญชาติให้เลือกใช้

        ข้อนี้พิจารณาขึ้นอยู่กับความเหมาะสมและความต้องการของผู้บริโภคแต่ละคนเป็นหลัก เช่น FOMM One รถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติญี่ปุ่น ขนาด 4 ที่นั่ง แบตเตอรี่ความจุ 11.8 kWh วิ่งได้ไกล 160 กม./ชาร์จแบตเตอรี่หนึ่งครั้ง เต็ม 1 ครั้ง สำหรับหัวชาร์จจะมีเฉพาะแค่ AC Type2 MG ZS EV รถอเนกประสงค์พลังงานไฟฟ้า ใช้มอเตอร์ไฟฟ้า PMSM 150 แรงม้า แรงบิด 350 นิวตันเมตร แบตเตอรี่ความจุ 44.5 kWh วิ่งได้ไกลถึง 337 กม./ชาร์จแบตเตอรี่หนึ่งครั้ง สำหรับหัวชาร์จสามารถรองรับ AC Type2 และ CCS2 Hyundai IONIQ EV รถยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูง โดยสูงสุดถึง 204 แรงม้า แรงบิด 395 นิวตันเมตร แบตเตอรี่ ความจุ 28 kWh วิ่งได้ไกลถึง 280 กม./ชาร์จแบตเตอรี่หนึ่งครั้ง สำหรับหัวชาร์จสามารถรองรับ AC Type2 และ CCS2 ฯลฯ

6.หากต้องเดินทางไกลต้องแม่นวางแผน

       ความนิยมรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยยังไม่แพร่หลายเท่าในต่างประเทศ เนื่องจากยังมีความกังวลและไม่เข้าใจเกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้าอย่างแท้จริง อีกทั้งอาจเป็นเพราะราคาที่สูงเกินไป เมื่อเทียบกับสมรรถนะและความสะดวกสบายที่ได้รับ เนื่องจากการชาร์จแบตเตอรี่หนึ่งครั้งจะสามารถวิ่งได้ระยะทางประมาณ 300-400 กม. เท่านั้น  จึงเหมาะสำหรับการใช้งานในเมือง แต่ผู้ที่ต้องเดินทางระยะไกลอาจต้องวางแผนให้ดี เพราะสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยยังมีจำนวนไม่มากพอ  ทำให้ไม่สามารถรองรับการใช้งานอย่างทั่วถึง ความพร้อมการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยจึงเรียกได้ว่ายังอยู่ในระดับเริ่มต้นเท่านั้น

        นอกจากนี้ การสนับสนุนหรือการรณรงค์ให้ความรู้เรื่องรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยนั้นยังมีน้อยมาก ทำให้ผู้ผลิตและผู้ซื้อมองไม่เห็นประโยชน์ในการใช้รถยนต์ไฟฟ้า แตกต่างจากประเทศอื่น ๆ ที่มีมาตรการส่งเสริมและให้สิทธิพิเศษแก่ผู้ที่ใช้รถยนต์ไฟฟ้าอย่างชัดเจน เช่น การยกเว้นภาษี มีเลนพิเศษ ไม่เสียค่าที่จอดรถ ฯลฯ

        อย่างไรก็ดี ในอนาคตกระแสการใช้รถยนต์ไฟฟ้าจะมาแน่นอน ไม่ใช่แค่ต่างประเทศ แต่ประเทศไทยเองก็จะถูกกดดันให้ต้องเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าแทนรถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงเผาไหม้ ไม่ว่าจะพร้อมหรือไม่พร้อมก็ตาม

ภาพโดย Marilyn Murphy จาก Pixabay 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง 

- ที่สุดแห่งยนตรกรรมออฟโรด!“Mercedes-Benz G 350 d Sport”

- โตโยต้า เรียกคืนรถไฮบริดกว่า 752,000 คันทั่วโลก

- “ฟอร์ด” เรียกคืนรถกว่า 2 ล้านคัน เหตุกลอนประตูเสี่ยงชำรุด

- สู้ไม่ไหว! GM ประกาศเลิกขาย "เชฟโรเลต" ในไทยภายในสิ้นปี 63

- กระแสรถบ้านกำลังมา รับท่องเที่ยวไฮซีซั่น



เกาะติดข่าวที่นี่
website: www.TNNThailand.com
facebook : TNNThailand
facebook live : TNN Live
twitter : @TNNThailand
Line : @TNNONLINE
Youtube Official : TNNThailand
Instagram : @tnn_online
TIKTOK : @tnnonline

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง