รีเซต

จิตตะเวลธ์ฉายภาพลงทุน เปิดตัวช่วยวางแผนพอร์ต

จิตตะเวลธ์ฉายภาพลงทุน เปิดตัวช่วยวางแผนพอร์ต
ทันหุ้น
24 มกราคม 2568 ( 10:11 )
18

#บลจ.จิตตะเวลธ์ #ทันหุ้น- บลจ.จิตตะ เวลธ์ ส่องโลก พร้อมวิเคราะห์แผนเตรียมลงทุนปี 2568 ที่เต็มไปด้วย ปัจจัยเสี่ยง และโอกาส มองเม็ดเงินลงทุนไหลเข้าสหรัฐ ส่วนจีนผ่อนปรนมากขึ้นเพื่อรับมือสงครามการค้ากับสหรัฐ ทางด้านเวียดนามยังแกร่งเศรษฐกิจโต พร้อมชูตัวช่วยลงทุน Jitta Ranking Alpha


นายตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน จิตตะ เวลธ์ จำกัด หรือ บลจ.จิตตะ เวลธ์ กล่าวถึงปัจจัยที่กระทบต่อการลงทุนในปี 2568 ว่า หลักๆ มาจากนโยบายกีดกันการค้าของ นายโดนัล ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ด้วยการขึ้นกำแพงภาษีนำเข้าสินค้าในหลายๆ ประเทศ นโยบายดังกล่าวกระทบโดยตรงต่อประเทศคู่ค้าสหรัฐ อย่างไรก็ตาม คาดว่าสหรัฐยังเป็นตลาดที่ดึงเม็ดเงินลงทุนจากทั่วโลกได้ต่อเนื่อง ทั้งหุ้น และตราสารหนี้


รวมถึงจับตาว่าหากตราสารหนี้ แม้จะปรับดอกเบี้ยลงแต่ก็ยังอยู่ในระดับสูงจะดึงเม็ดเงินลงทุนออกจากตลาดหุ้นได้หรือไม่ เนื่องจากเทียบความเสี่ยง กับผลตอบแทนแล้ว ตราสารหนี้ยังคงน่าสนใจอยู่ไม่น้อย แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับ อายุคงเหลือของตราสารด้วย (Duration)


*ลงทุนสหรัฐยังน่าสนใจ

นายตราวุทธิ์ กล่าวต่อไปว่า แม้ S&P500 จะปรับตัวเพิ่มขึ้นมากในปีที่ผ่านมา แต่นโยบายของทรัมป์ 2.0 ที่มีแผนรับลดภาษีนิติบุคคล (Corporate Tax) ลงเหลือ 20% และเหลือเพียง 15% สำหรับบริษัทผลิตสินค้าอยู่ภายในสหรัฐ ปัจจัยดังกล่าวก็อาจสนับสนุนให้บริษัทต่างๆ สามารถสร้างกำไรที่เพิ่มขึ้นได้ ก็ทำให้การลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐยังคงน่าสนใจ แต่ก็ต้องระมัดระวังในส่วนของสงครามการค้าที่อาจจะเกิดขึ้นด้วย


ขณะที่มุมมองเศรษฐกิจจีน คาดว่าประธานาธิบดี สี จิ้นผิง จะเปลี่ยนท่าทีนโยบายการเงินที่เข้มงวด (Prudent) มาเป็น ผ่อนคลายปานกลาง ( Moderately loose) เหมือนช่วงปี 2551-2553 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ซึ่งบลจ.จิตตะเวลธ์ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า การผ่อนคลายนโยบานการเงินเหมือนช่วงปี 2551-2553 หนุนตลาดหุ้นจีนปรับตัวเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจีนก็ได้มีการกล่าวว่าในปี 2568 จะมีการปรับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ มากเพิ่มขึ้นอีกหลังจากที่ทรัมป์ขึ้นเป็นประธานาธิบดีในมกราคม 2568


ทั้งนี้ตั้งแต่ต้นปี 2567 เป็นต้นมาจีนก็ได้มีการออกมาตรการหลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็น ลดอัตรา Requirement Reserve Ratio (RRR) เพื่อเพิ่มสภาพคล่อง ลดอัตราเงินดาวน์สำหรับการซื้อบ้านหลังที่สอง ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ (LPR) และอื่นๆ ที่พยุงตลาดหุ้นโดยรวมของจีนมาถึงปัจจุบัน


*เวียดนามแกร่งศก.โต

เวียดนาม เป็นอีกตลาดที่นักลงทุนสนใจ โดยตลาดหุ้นเวียดนามมีสัดส่วนอยู่ในดัชนีตลาดชายขอบ (Frontier Market) มากที่สุดในปัจจุบันทั้ง MSCI Frontier Market Index และ FTSE Russell Frontier Index โดยมีสัดส่วนอยู่ 25% และ 37.48% ตามลำดับ ซึ่งยังมีโอกาสสูงที่เวียดนามอาจถูกปรับไปเป็น Emerging Market ภายในปี 2568 (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ต.ค. 2567)


เวียดนามเป็นประเทศที่มีการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment) เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยในช่วง 11 เดือนของปี 2567 โดยมีมูลค่าปัจจุบันถึง 2.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งในเดือนพฤศจิกายนมูลค่าการลงทุนปรับเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 10.7% ส่วนหนึ่งมาจากด้านการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกซ์ที่หลายบริษัทหันมาให้เวียดนามเป็นฐานการผลิตหลักจากค่าแรงและประชากรหนุ่มสาวที่มีจำนวนมาก


นักวิเคราะห์คาดการณ์การเติบโตของ GDP เวียดนามใน ปี 2567 - 2568 อยู่ที่ 6.5% ขยายตัวทุกปีตั้งแต่ 2553 และแม้จะเจอโควิด-19 และคาดว่า ตลาดหุ้นเวียดนามอาจถูกปรับไปเป็น Emerging Market ในปี 2568


*ในความเสี่ยงมีโอกาส

สำหรับมุมมองการลงทุนปี 2568 นายตราวุทธิ์ กล่าวว่า หากพิจารณาสถิติตลาดหุ้นย้อนหลังในหลายๆ ประเทศ พบว่า ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นลงเป็นวัฏจักร โดยเฉลี่ยแล้วใน 10 ปี ตลาดหุ้นจะติดลบประมาณ 3 ปี และกำไรประมาณ 7 ปี ทำให้คาดการณ์ได้ว่า หากตลาดหุ้นโดยรวมทำผลตอบแทนได้ดีหลายปีติดต่อกัน ก็มีโอกาสที่ปีต่อไป ตลาดหุ้นจะปรับฐานทำผลตอบแทนลดลง


ขณะเดียวกัน หากตลาดหุ้นทำผลตอบแทนไม่ค่อยดีในปีที่ผ่านๆ มา หรือประสบวิกฤติ ตลาดหุ้นตกลงมาแรงๆ ก็มีโอกาสที่ปีต่อไปจะฟื้นตัว กลายเป็นตลาดหุ้นขาขึ้นได้ ดังนั้นหากนักลงทุนสามารถวิเคราะห์หา เวลาที่เหมาะสม ในการลงทุนของตลาดหุ้นแต่ละประเทศ และสามารถสลับการลงทุนจากตลาดหุ้นที่ราคาแพงเกินไปแล้ว นำเงิน ไปลงทุนในตลาดที่มีโอกาสมากกว่า ก็จะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญ ที่จะช่วยลดระยะเวลาการฝ่ามรสุมตลาดหุ้นขาลง (Drawdown Period) ของพอร์ตได้ และเพิ่มผลตอบแทนให้ดีขึ้นได้ในระยะยาว


“หุ้นพื้นฐานดีอย่างเดียวไม่เพียงพอต่อการตัดสินใจลงทุน นักลงทุนต้องวิเคราะห์ดูอีกชั้นว่า หุ้นพื้นฐานดีที่มีอยู่ในประเทศนั้นๆ ปัจจุบันเป็นหุ้นที่ ถูก หรือ แพง มากน้อยแค่ไหน เพราะสัดส่วน หุ้นดีราคาถูก ในตลาดหุ้นจะบอกถึงโอกาสทำกำไรของตลาดหุ้นนั้นๆ ได้ดี ตลาดหุ้นใดมีหุ้นพื้นฐานดีเยอะกว่า แสดงว่าเป็นตลาดที่มีรากฐานการเติบโตแข็งแกร่งและยั่งยืนกว่า”


นายตราวุทธิ์ กล่าวอีกว่า แต่หาก หุ้นดีราคาแพง มีจำนวนเยอะกว่า หุ้นดีราคาถูก ก็เป็นไปได้ว่าตลาดหุ้นในตอนนั้นร้อนแรงเกินไป ราคาหุ้นค่อนข้างเฟ้อเป็นฟองสบู่รอวันแตก และถ้าเราลงทุนในเวลานั้นแล้วฟองสบู่แตกจริงก็จะทำให้เราขาดทุนหนักๆ ได้ แม้ว่าเราจะซื้อหุ้นที่ดีไว้ก็ตาม ดังนั้น การเลือกลงทุนในประเทศที่มีหุ้นพื้นฐานดีและราคาถูก จำนวนมากกว่า ย่อมเป็นโอกาสการลงทุนที่ดีกว่า



*ชูแผน Jitta Ranking Alpha

ทั้งนี้เพื่อการคัดเลือกหุ้นดีราคาถูก บลจ.จิตตะ เวลธ์ จึงได้พัฒนาต่อยอดแผนการลงทุน Jitta Ranking ให้เหนือขั้น ด้วย Alpha AI อัลกอริทึมวิเคราะห์ประเทศที่น่าลงทุนที่สุด ในแต่ละปี เกิดเป็น Jitta Ranking Alpha แผนการลงทุนใหม่ที่ช่วยให้นักลงทุน สามารถลงทุนใน ตลาดหุ้นที่ดี ในเวลาที่เหมาะสม และ หุ้นดีราคาถูก ได้พร้อมๆ กัน ช่วยเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนระยะยาวให้นักลงทุนได้ดีกว่า


กองทุนส่วนบุคคล Jitta Ranking Alpha มีแนวทางจัดพอร์ต กระจายความเสี่ยง และปรับพอร์ต เพื่อป้องกันผลกระทบจากความผันผวนของราคาหุ้นตัวใดตัวหนึ่งมากจนเกินไป จึงจะเน้นการกระจายความเสี่ยงลงทุน 20 หุ้น ตามการจัดอันดับของ Jitta Ranking ประเทศนั้นๆ ในสัดส่วนเท่าๆ กัน (Equal Weight) รีวิวและปรับพอร์ตทุกๆ 3 เดือน ตามช่วงเวลาประกาศผลประกอบการของธุรกิจ นอกจากนี้ยังมีการรีวิวและปรับเปลี่ยนตลาดหุ้นที่ลงทุนในทุกๆ ปี เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงจากการลงทุนในต่างประเทศได้

ข่าวที่เกี่ยวข้อง