ความหมายวันคริสมาสต์ และ ดวงดาวแห่งเบธเลเฮม
ทุกวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันที่ชาวโลกร่วมเฉลิมฉลองกับเทศกาลแห่งความสุขที่คลาคล่ำไปด้วย สีเขียว สีแดง ต้นคริสมาสต์ และของขวัญมากมาย
ความหมายวันคริสมาสต์
Image by JaymzArt from Pixabay
วันคริสมาสต์ ถือเป็นวันประสูติของพระเยซู ที่ทรงมาบังเกิดในรางหญ้า หรือ Nativity ซึ่งสถานที่เกิดในรางหญ้านี้ มีองค์ประกอบพื้นฐาน คือ กุมารน้อยในรางหญ้า มารีย์ และ โยเซฟ โดยมีฉากประกอบเป็นคอกสัตว์ (ถ้ำ) และอาจมีรูป (ปั้น) ของคนเลี้ยงแกะ และแกะเข้ามาในฉากด้วย แต่ถ้าจะให้สมบูรณ์ที่สุดแล้วละก็ จะต้องมีรูปโหราจารย์ นำของขวัญมาถวาย พร้อมกับมีดวงดาวประดับอยู่ด้วย
แม้ว่าจะมีหลายแนวคิดเกี่ยวกับเรื่องวันประสูติที่แท้จริงของพระเยซูว่าตรงกับวันที่เท่าไรนั้น แต่กระบวนการเหล่านั้นทั้งเชิงวิทยาศาสตร์และเชิงเทววิทยาของปราชญ์ชาวคริสต์ อีกทั้งตามหลักฐานในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล บทพระธรรม ลูกา (2 : 1-3) บันทึกไว้ว่า พระเยซูเจ้าบังเกิด ในสมัยที่จักรพรรดิซีซาร์ออกัสตัส ให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน โดยมีคีรินิอัส เป็นเจ้าเมืองซีเรีย ซึ่งในพระคัมภีร์ไม่ได้บอกว่า เป็นวันหรือเดือนอะไร
แต่นักประวัติศาสตรให้เหตุผลว่า ที่คริสตชน เลือกเอาวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันฉลองคริสมาสต์ ตั้งแต่ศตวรรษที่ 4 เป็นต้นมา เนื่องจากในปี ค.ศ.274 จักรพรรดิเอาเรเลียน ได้กำพหนดให้วันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันฉลองวันเกิดของสุริยเทพผู้ทรงพลัง ชาวโรมันฉลองวันนี้อย่างสง่าและถือว่าเป็นวันฉลองของพระจักรพรรดิไปในตัวด้วย เพราะพระจักรพรรดิก็เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ให้ความสว่างแก่ชีวิตมนุษย์
คริสตชนที่อยู่ในจักรวรรดิโรมัน รู้สึกอึดอัดใจที่จะฉลองวันเกิดของสุริยเทพตามประเพณีของชาวโรมัน จึงหันมาฉลองการบังเกิดของพระเยซูเจ้าแทน จนถึงวันที่ 25 ธันวาคม ค.ศ.330 จึงเริ่มมีการฉลองคริสมาสต์อย่างเป็นทางการและอย่างเปิดเผย เนื่องจากก่อนหน้านั้นมีการเบียดเบียนศาสนาอย่างรุนแรง (ตั้งแต่ ปี ค.ศ.64-313) ทำให้คริสตชนไม่มีโอกาสฉลองอย่างเปิดเผย
ทั้งนี้ คำว่า คริสต์มาส เป็นคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษ Chrismas มาจากภาษาอังกฤษโบราณว่าChristes Maesse พบครั้งแรกในเอกสารโบราณเป็นภาษาอังกฤษในปี ค.ศ.1038 แปลว่า บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า เพราะการร่วมพิธีมิสซาเป็นประเพณีสำคัญที่สุดที่ชาวคริสต์ถือปฏิบัติกันในวันคริสต์มาส และคำนี้แปรเปลี่ยนมาเป็นคำว่า Chrismas คำทักทายที่เราได้ฟังบ่อยๆ
คลิกเลย >>> 20 คำอวยพรวันคริสต์มาส ภาษาอังกฤษ พร้อมคำแปล เก็บไว้ส่งให้เพื่อนในวันคริสต์มาส
ความสำคัญของวันคริสมาสต์
ตามความเชื่อของคริสตชน วันคริสมาสต์เป็นวันที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง มิใช่เป็นวันฉลองเพื่อความสุขทางฝ่ายร่างกาย แต่แก่นสำคัญของวันคริสมาสต์ คือ ฝ่ายวิญญาณ เป็นความสุขที่ได้เห็นว่าพระเจ้ายังทรงรักมนุษย์ รักมากจนถึงกับยอมส่งพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ให้มาบังเกิด มีเนื้อหนังมังสา เป็นมนุษย์ ในนามว่า “เยซู”
การที่พระเจ้าได้ถ่อมองค์และเกียรติลงมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อมาช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นจากการเป็นทาสของความชั่วและบาปต่างๆ จนถึงการยอมตายบนกางเขนเพื่อไถ่บาปแทนมนุษย์ ดังนั้น ความสำคัญของวันคริสมาสต์จึงอยู่ที่การฉลองความรักที่พระเจ้ามีต่อโลกมนุษย์อย่างจริงจัง และเห็นตัวตนในพระเยซูคริสต์ที่มาเกิดเป็นมนุษย์มากกว่าอื่นใด
วันคริสมาสต์ และ คริสมาสต์อีฟ ต่างกันอย่างไร
วันคริสมาสต์อีฟ จะตรงกับวันที่ 24 ธันวาคม เป็นการฉลองคืนแรก ก่อนที่จะถึงรุ่งเช้าในวันที่พระเยซูมาประสูติ ตามหลักข้อเชื่อ ที่พระเจ้าทรงสร้างกลางวันและกลางคืน โดยจะมีทั้งการอธิษฐานขอบพระคุณ การเฉลิมฉลองร่วมกัน เป็นต้น
ส่วนวันคริสมาสต์ จะตรงกับวันที่ 25 ธันวาคม จะเป็นวันเฉลิมฉลองระลึกถึงการประสูติของพระเยซู ที่ทรงมาบังเกิดบนรางหญ้า ในเมืองเบธเลเฮม จะมีกิจกรรมต่าง ๆ เกิดขึ้นหลากหลาย โดยตามความเชื่อของคริสตชน เชื่อว่า “การประสูติของพระเยซู” ในวันคริสมาสต์ เป็นของขวัญที่พระเจ้าได้มอบแก่มนุษย์ทุกคน เพราะด้วยความรักที่มีแก่มนุษย์
โดยในพระคัมภีร์ไบเบิล ให้ความหมายของวันคริสตมาส ไว้ว่า (ยอห์น 3:16) “พระเจ้าทรงรักโลกดังนี้ คือได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์“ คริสตชน เชื่อว่า เพราะว่าพระเจ้าทรงรักมนุษย์มาก จึงได้ประทานพระบุตรองค์เดียว คือพระเยซูคริสต์ให้เป็นของขวัญแก่มนุษย์ เพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นจากความผิดบาป และเพื่ออวยพรแก่มนุษย์
ความหมายของ “ดวงดาวแห่งเบธเลเฮม”
Image by Jeff Jacobs from Pixabay
นอกจากนี้ จากพระคัมภีร์ไบเบิ้ล บทของ มัทธิว 2:1-2 ระบุความว่า “...พระเยซูได้ทรงบังเกิดที่บ้านเบธเลเฮมแคว้นยูเดียในรัชกาลของกษัตริย์เฮโรด ภายหลังมีพวกนักปราชญ์จากทิศตะวันออกมายังกรุงเยรูซาเล็ม ถามว่า “พระกุมารผู้ที่ทรงบังเกิดมาเป็นกษัตริย์ของชนชาติยิวนั้นอยู่ที่ไหน? เราได้เห็นดาวของท่านทางทิศตะวันออก และเราจึงมาเพื่อจะนมัสการท่าน”
ขยายความจากข้อพระคัมภีร์ ได้ตีความ “ดวงดาวที่ปรากฏ” ในช่วงเวลาที่พระเยซูประสูติ ในหลากหลายมุม นักวิชาการคาดว่าอาจจะเป็นดาวตก หรือไม่ก็เป็นปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติบางอย่าง หรืออาจจะเป็นดาวประหลาดตามตัวอักษรที่บันทึกในพระคัมภีร์ ซึ่งเราไม่มีทางรู้ว่าดาวประหลาดที่ปรากฏขึ้นเมื่อประมาณ 2,000 ปีก่อนหน้าตาเป็นอย่างไร
จากการสังเกตดวงดาว นักปราชญ์จากทิศตะวันออกจึงรู้ว่ามีกษัตริย์องค์หนี่งของอิสราเอลได้มาบังเกิด จึงได้ตามดาวประหลาดนั้นเพื่อที่จะได้พบกับพระกุมาร และได้มาหากษัตริย์เฮโรดซึ่งปกครองอิสราเอลในสมัยนั้นถามว่าพระกุมารอยู่ที่ไหน พวกตนจะได้นมัสการพระองค์
คลิกเลย >>> 5 ไอเดียห่อของขวัญ สำหรับคริสมาสต์ และปีใหม่ 2021
ความหมายของ “ดวงดาวแห่งเบธเลเฮม” จึงหมายถึง ดวงดาวแห่งความหวัง เหมือนดังพวกโหราจารย์ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ซึ่งกลุ่มเหล่านี้อาจจะเป็นนักดาราศาสตร์ชนชั้นผู้ปกครองที่เดินทางไกลมาจากทิศตะวันออก (คาดว่าเป็นเปอร์เซีย หรือทางใต้ของอารเบีย)
การเดินทางในยุคโบราณนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายในพื้นที่ทะเลทราย และภูเขาสูง พวกโหราจารย์เหล่านี้ คงไม่ได้เดินทางมาแค่ระยะทางใกล้ ๆ และคงไม่ได้เดินทางมาถึงที่ ๆ พระกุมารประทับอยู่ในคืนเดียวกับที่พวกคนเลี้ยงแกะเข้าเฝ้าในคืนแรกที่พระกุมารเยซูประสูติ
เหมือนอย่างที่เราเห็นแสดงละคนกันในโบสถ์ตามโรงละคร หรือแม้แต่ในภาพยนตร์และโทรทัศน์ เพราะพระกุมารในเวลาที่โหราจารย์มาเข้าเฝ้า ไม่ใช่ "เด็กทารก" (แบเบาะ) อีกต่อไปแล้ว แต่เป็น "เด็กเล็ก" ที่อย่างน้อยก็อยู่ในวัย "เตาะแตะ" แล้ว !
ดังนั้น พวกโหราจารย์ คงต้องใช้เวลาเดินทางข้ามทะเลทรายมาด้วยความยากลำบากและยาวนาน
พวกเขาคงผ่านคืนวันที่โหดร้ายมาไม่น้อย ก่อนมาเข้าเฝ้าพระกุมารแห่งวันคริสตมาส
แต่ก็น่าประทับใจที่พวกเขาไม่ผิดหวัง เพราะมีดวงดาวอันสุกใสของพระเจ้าแห่งความรัก นำทางพวกเขามาตลอดการเดินทาง
ดังนั้น ดวงดาวแห่งเบธเลเฮม ตามความเชื่อจึงเป็นแสงสว่างแห่งการนำทางไปสู่การเสาะแสวงหาความสำเร็จของชีวิต เช่นกัน.
ภาพปก : Image by JaymzArt from Pixabay
รวมสิทธิส่งเสริมคุณภาพชีวิต เกาะติดเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ทันเรื่องราวกระแสสังคม
สัมผัสประสบการณ์ข่าวได้ที่ แอปพลิเคชัน ทรูไอดี (ดาวน์โหลดเลยที่นี่!!)