หญิงหน่อย ควง 'โภคิน-วัฒนา' เปิดตัว "พรรคสร้างไทย" ชูการเมืองแบบคนรุ่นใหม่
หญิงหน่อย ควง 'โภคิน-วัฒนา' เปิดตัว "พรรคสร้างไทย" ชูการเมืองแบบคนรุ่นใหม่ พร้อมรับฟังประชาชนทางโลกออนไลน์ เพื่อนำมาทำนโยบายที่ดีที่สุด
เมื่อวันที่ 17 ก.พ. 2564 ที่อาคารมติชน คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ุ แกนนำพรรคสร้างไทย พร้อม นายโภคิน พลกุล อดีตสมาชิกพรรคเพื่อไทย หนึ่งในทีมยุทธศาสตร์พรรคด้านนโยบายและแผนงานของพรรคเพื่อไทย, นายวัฒนา เมืองสุข, นายพงศกร อรรณนพพร อดีต ส.ส.ขอนแก่น และอดีตรมช.ศึกษา, นายต่อพงษ์ ไชยสาส์น อดีต รมช.สาธารณสุข พร้อมคณะ
คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวว่า ตนทำงานอยู่ในสายการเมืองมา 29 ปี ตั้งใจทำงานในทุกองค์การ และการมาสร้างพรรคการเมือง คือ “พรรคสร้างไทย” ตั้งใจทำงานชิ้นนี้ให้ดีที่สุด ถือว่าเป็นงานชิ้นสุดท้ายของชีวิตการเมืองก็ว่าได้ โดยตั้งใจจะใช้ความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ทางการเมือง เพื่อเป็นฐาน เป็นเสาหลัก หรือเป็นเสาเข็ม สร้างการเมืองดีๆ ให้คนรุ่นใหม่ ให้คนเก่งๆ ในคนรุ่นใหม่ มาต่อยอด ต่อไป
คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวอีกว่า สำหรับการตั้งพรรคใหม่ จะรวดเร็วขนาดไหนและแนวโน้มทางการเมืองจะไปสู่การเปลี่ยนแปลง เพื่อให้มีการเลือกตั้งเร็วหรือไม่นั้น ตนมองว่า เราเพิ่งตัดสินใจกันไม่นาน กระบวนการทางกฎหมายน่าจะใกล้ที่จะประกาศในราชกิจจาฯ ส่วนการเลือกตั้งรัฐบาลชุดปัจจุบันทำขนาดนี้ ก็ไม่คิดว่าจะมีการเลือกตั้งที่เร็ว ตนมองว่า จะเลือกตั้งเร็วหรือช้า ไม่สำคัญเท่ากับรัฐธรรมนูญจะแก้ได้หรือไม่ได้
คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวต่อว่า ตนไม่ได้มองตรงมิติว่า จะได้เปรียบหรือเสียเปรียบ แต่มองว่า รัฐธรรมนูญที่ต้องแก้ เป็นการลิดรอนสิทธิ์มากจริงๆ สิทธิทางการเมืองของประชาชน โอกาสของประชาชน ในการทำมาหากินอีกหลายเรื่อง เพราะฉะนั้น เรื่องนี้สำคัญที่สุด ตนไม่คิดว่า จะมีการเลือกตั้งที่เร็ว แต่เราจะทำในลักษณะที่เคยทำมา คือไปรับฟังความคิดเห็นพี่น้องประชาชน เข้าไปดูในโลกโซเชียล โลกของออนไลน์ ฟังให้มากที่สุดแล้วก็นำมาทำนโยบายที่ดีที่สุดด้าน นายโภคิน กล่าวว่า ปีนี้ตนอายุ 69 ปี ปีหน้าก็อายุ 70 ปี ประเด็นคือไม่อยากเป็นอะไรอีกเลย ไม่ว่าตำแหน่งอะไร โดยพูดจากใจจริง ไม่ได้กลัวอะไร อยากมีชีวิตแบบสามัญชนที่ใช้ชีวิตปกติสบายๆไม่ต้องเหนื่อยไม่ต้องอะไรมาก แต่พอทำงานกับคุณหญิง สุดารัตน์ จากที่พรรคเพื่อไทย ก็เห็นความตั้งใจและทุ่มเท โดยเฉพาะเป็นรัฐมนตรีร่วมรัฐบาลเดียวกัน โดยเฉพาะช่วงเกิดเหตุสึนามิ ตนเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย คุณหญิง สุดารัตน์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งได้ทำงานร่วมกันแบบเป็นพี่เป็นน้อง เป็นครั้งแรกที่ร่วมทำงานด้วย“ผมตกผลึกทางความคิด เหมือนกับพี่ๆ น้องๆ ร่วมอุดมการณ์ว่า บ้านเมืองเดินมาถึงจุดนี้ ผมไม่เคยคิดว่า มันจะมาถึงจุดนี้ได้ คือที่เลวร้ายที่สุด และไม่มีอนาคต เพราะฉะนั้น เด็กที่ออกมาเรียกร้องมันชัดเจนว่า เขาส่งสัญญาณว่า ประเทศนี้ไม่มีอนาคต เพราะว่าพวกเขาไม่รู้จะเดินต่อไปอย่างไร สิ่งนี้จึงทำให้พวกเรา มาคิด มาทำว่า ถ้าเป็นอย่างนั้น ภารกิจของเราในช่วงวัยของเรา จะทำอย่างไรก็ได้ ตกผลึกถ้อยคำออกมาว่า มาร่วมกันส่งมอบประเทศไทยที่ดีที่สุด ให้ลูกหลานของเรา แต่ละคนก็ทำหน้าที่ในส่วนของตัวเองไป พวกเราเป็นนักการเมือง ก็มาทำการเมืองตรงนี้” นายโภคิน กล่าว
นายโภคิน ยังกล่าวอีกว่า ระบบของบ้านเรา เป็นระบบรับราชการ ใครกุมข้าราชการได้ มันเสวยสุข มันได้ประโยชน์ทุกอย่าง เพราะฉะนั้น จึงได้นำองค์กรทางการเมือง ไปรับใช้ตรงนี้ บางคนมองว่าเป็นองค์กรแบบครอบครัว พวกพ้อง หรือก๊วนนั้นก๊วนนี้ ไม่ได้คิดเลยว่าเราจะยินดีให้คนแต่ละรุ่น ที่เค้าก็เป็นตัวแทนของความคิด เป็นตัวแทนของผลประโยชน์ส่วนอื่นๆที่เขาจะได้รับอย่างไร ตรงนี้เราไม่เคยไปมองเลย
นายโภคิน กล่าวต่อว่า คนรุ่นใหม่ไม่ใช่คนอายุน้อย แต่เป็นคนที่มีความคิดที่มองไปข้างหน้า ไม่ใช่มองเรื่องใหม่หรือเข้าใจเทคโนโลยีใหม่ ต้องมองว่า สังคมนี้จะไปข้างหน้าอย่างไร เราจะแก้ไขสังคมนี้ให้ทุกคนเดินร่วมกันอย่างพี่อย่างน้องได้อย่างไร นี่เป็นประเด็นใหญ่ ไม่ใช่เพียงเพื่อไปเอาอำนาจรัฐ แล้วมาเขียนนโยบายลดแลกแจกแถม แข่งว่าใครจะลดมากกว่ากัน แถมมากกว่ากัน เพราะฉะนั้น ประเทศก็จะไม่มีวันก้าวข้ามตรงนี้ไปได้ เราก็มาคุยกันต่อว่าอะไรที่เป็นอุปสรรคจริงๆ อย่างพรรคไทยรักไทยใช้นโยบายว่า “เพิ่มรายได้ลดรายจ่าย ขยายโอกาส” ถามว่าพรรคการเมืองกุมอำนาจรัฐหรือทหารกุมอำนาจรัฐ อะไรที่เป็นตัวกลางเป็นตัวเชื่อมทุกอย่าง เรามองตรงกันก็คือระบบรับราชการ
“ผมถามว่านายกฯ ทักษิณปฏิรูประบบราชการให้อำนาจผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้ว่าฯ ซีอีโอ ดีหรือไม่ดี แต่พอนักการเมืองลงไป อำนาจนี้เลยกลายเป็นอำนาจของระบบราชการ กลายเป็นว่า ทุกคนที่เข้ามา ที่มาจากประชาธิปไตย หรือมาจากเผด็จการ มาเติมอำนาจให้กับระบบราชการทั้งสิ้น ยิ่งเติมอำนาจให้ระบบราชการมากเท่าไหร่ คนตัวเล็กๆ ยิ่งตายเท่านั้น เพราะระบบนี้สร้างกฎระเบียบมาก ในเรื่องเดียวกัน ต่างกรมก็ต่างถือกฎหมายคนละฉบับ มีความพยายาม จะต่อสู้กับสิ่งนี้มาตลอด
"แม้ว่ายุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี หรือแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม มันจะเดินไปได้ก็ต่อเมื่อ ต้องแก้ปัญหาระบบราชการที่อุ้ยอ้าย และไร้ประสิทธิภาพ แต่ถึงขนาดนี้ไม่มีใครไปแก้ไขมันเลย ผมถามว่าทำไมแก้ไม่ได้ เพราะว่า มันไม่รู้คืออะไร ทุกคนเข้ามา ถ้าสามารถกุมอำนาจตรงนี้ได้ก็เสวยสุข" นายโภคิน กล่าว
นายวัฒนา กล่าวว่า จริงๆ แล้วสถานการณ์ของประเทศไทยที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดคือสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ ซึ่งเศรษฐกิจไทย ก็แย่มาตั้งแต่ถูกยึดอำนาจแล้ว หลักฐานคือการจัดเก็บภาษี ซึ่งแสดงฐานะทางการครั้งที่ต่ำกว่า ประมาณการตั้งแต่ปี 2557 แล้ว ซึ่งช่วงที่ผ่านมา ดูเหมือนเศรษฐกิจจะดีขึ้น ก็เพราะคุณคิดว่า จะมีการเลือกตั้ง จึงทำให้เกิดความมั่นใจออกมาจับจ่ายใช้สอยกันมากขึ้น แต่พอได้รัฐบาลเดิม ทำให้ในปี 2563 การจัดเก็บภาษีต่ำลงกว่าประมาณการ และในปี 2564 คาดว่า จะจัดเก็บภาษีได้ต่ำกว่าประมาณการสูงสุดตั้งแต่มีประเทศไทยมา ตัวเลขทางเศรษฐกิจจะไม่โกหก ผลคือประชาชนไม่มีเงินเศรษฐกิจแย่
"สิ่งที่น่าเป็นห่วงกับประเทศไทยมากในตอนนี้ คือ จีดีพีของเราอยู่ที่ 16 ล้านล้านบาท มาจากการส่งออกประมาณ 70% ซึ่งสินค้าที่ส่งออก 10 อันดับแรก เป็น FDI ทั้งสิ้น อันดับหนึ่งคือรถยนต์ อันดับสองคือคอมพิวเตอร์ อันดับสามคืออัญมณี เป็นต้น มาจากสินค้าจากการลงทุนโดยตรงของต่างประเทศ ซึ่งเรารู้กันอยู่ว่าเค้าย้ายฐานการผลิตออกจากประเทศไทยแล้วไปเวียดนาม ถามว่าไปเวียดนาม เพราะอะไร เพราะเป็นยุทธศาสตร์ของอเมริกา และประเทศไทย ไม่มีความได้เปรียบที่จะเป็นฐานการผลิตอีกแล้ว" นายวัฒนา กล่าว
ขณะที่ นายพงศกร กล่าวว่า วันนี้มาขอแนะนำตัวเองกับสื่อมวลชน ตนมีโอกาสได้ทำงานในเรื่องยุทธศาสตร์ของพรรคเพื่อไทย และมีโอกาสได้สัมผัสกับคุณหญิงสุดารัตน์ ซึ่งเคยร่วมงานกัน แต่ไม่เคยทำงานอย่างจริงจัง และมีความตั้งใจในเรื่องปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับชาติบ้านเมือง เราได้มีการประชุมวางยุทธศาสตร์ และการแก้ปัญหา แต่เราทำงานมาถึงจุดหนึ่ง สิ่งที่เรานำเสนอเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแต่ การมีอุดมการณ์ที่ตรงกัน ถึงได้ออกมาก่อตั้งพรรคการเมืองที่เป็นพรรคที่เป็นความคาดหวังของพี่น้องประชาชน แล้วทุกคนก็ได้มีโอกาสเข้ามามีส่วนร่วมในการนำเสนอความคิด ในการนำเสนอปัญหาต่างๆและนำไปสู่การแก้ไขได้เป็นรูปธรรม ไม่ใช่ว่าลงเรือแป๊ะแล้วตามใจแป๊ะ
“ปัจจุบันนี้ เราจะเห็นว่า มีการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายกันอย่างชัดเจน ถ้าในวันนี้ เรายังอยู่ในลักษณะเดิมๆ บ้านเมืองก็จะไม่นำไปสู่การแก้ปัญหา คนซ้ายก็ซ้ายจนตกขอบ คนขวาก็ขวาจนน่ากลัว เราจะเป็นจุดกลาง ที่จะทำให้เป็นทางออกของสังคม นี่คืออุดมการณ์ร่วมกัน” นายพงศกร กล่าว
ส่วน นายวัฒนา กล่าวอีกว่ากรณีทางพรรคจะส่งตัวแทนลงเลือกตั้งท้องถิ่นหรือไม่นั้น ตนมองว่ารัฐบาลพยายามให้มีการเลือกตั้งใหญ่มากที่สุด เพราะเป็นการกำจัดแคนดิเดตนายกฯ เช่น นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ก็แคนดิเดตนายกฯ ซึ่งทุกคนที่ลงผู้ว่าฯ กทม. แล้วได้ขึ้นมา เกิดลาออกจากการเป็นผู้ว่าฯ กทม. เพื่อมาลงสนามเลือกตั้งใหญ่เพื่อเป็นนายกฯ ชาวบ้านก็ด่ากระจาย หรือถ้าเกิดสอบตก คนนั้นก็ไม่ได้เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เขาจึงพยายามดึงการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.มาไว้ใกล้ๆ กับการเลือกตั้งใหญ่ นี่คือกระบวนการกำจัดแคนดิเดตนายกฯ อย่างน้อย 3-4 คน เป็นความเคี่ยวของทางรัฐบาล