คดีชั้น 14 รพ.ตำรวจ ไทม์ไลน์–ข้อเท็จจริง ก่อนศาลฎีกาชี้ชะตา 9 ก.ย. 2568

วันที่ 9 กันยายน 2568 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนัดอ่านคำพิพากษาคดี “บังคับคดีชั้น 14” ซึ่งพุ่งเป้าไปที่การส่งตัวและพักรักษานายทักษิณ ชินวัตร บนชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ว่าชอบด้วยกฎหมายเพียงใด ทั้งนี้ ทนายยืนยันเจ้าตัวจะมาศาลตามนัดด้วยตนเองก่อนเวลา 10.00 น. ของวันดังกล่าว โดยมีการจับตาเรื่องเงื่อนไขการเดินทางและคำร้องห้ามออกนอกประเทศที่ศาลนัดพิจารณาแยกเมื่อ 8 กันยายน 2568 ด้วย
เส้นเวลาเหตุส่งตัวและการพักรักษา
ภายหลังกลับไทย 22 สิงหาคม 2566 ช่วงดึกเกิดอาการแน่นหน้าอก ความดันสูง และค่าออกซิเจนปลายนิ้วต่ำ แพทย์ทัณฑสถาน รพ.ราชทัณฑ์ประเมินว่าขาดแคลนศักยภาพรักษาโรคหัวใจเฉียบพลัน จึงส่งต่อมายัง รพ.ตำรวจ อย่างเร่งด่วน ทว่าเมื่อถึง รพ.ตำรวจ ไม่ได้เข้า ICU แต่ถูกนำขึ้น “ชั้น 14” ทันที ซึ่งต่อมากลายเป็นหัวใจของข้อสงสัยในคดีนี้
ในช่วงเวลาเดียวกัน สื่อหลายสำนักรายงานตรงกันว่านายทักษิณถูกจัดให้อยู่ห้อง 1401 อาคารมหาภูมิพลราชานุสรณ์ 88 พรรษา โดยฝ่ายบริหาร รพ.ตำรวจยืนยันเป็นห้องแยกมาตรฐาน ไม่ใช่ห้องพิเศษหรู และเดิมชั้นนี้เคยใช้กักกันผู้ป่วยโควิด-19
ห้อง 1401 และสภาพแวดล้อมการรักษา
ข้อมูลจากการไต่สวนและคำให้การระบุว่า ชั้น 14 มีหอผู้ป่วยรวมระดับสูง แบ่ง 2 ปีก รวมราว 12 ห้อง มีพยาบาลดูแล 24 ชั่วโมง มีเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์และตำรวจประจำการหน้าห้อง การเข้าเยี่ยมต้องได้รับอนุญาตและปฏิบัติตามระเบียบ นอกจากนี้ยังมีรายละเอียดเชิงกายภาพ เช่น เครื่องปรับอากาศขัดข้องบางช่วง ต้องใช้พัดลมระบายอากาศ และมีกล่าวถึงอัตราค่าห้องในช่วง 5,000–8,500 บาทต่อคืนในเอกสารประกอบ
ทีมแพทย์ การรักษา และประเด็นข้อกังขา
ต่อมา ศาลไต่สวนทีมแพทย์หลายชุด รวมทั้งแพทย์ รพ.ตำรวจ และบุคลากรจากทัณฑสถาน รพ.ราชทัณฑ์ ถึงเหตุจำเป็นทางการแพทย์ คำถามสำคัญคือ เหตุใดไม่เข้า ICU ตั้งแต่แรก และเหตุต้องใช้ชั้น 14 แทน โดยมีการเบิกความเรื่องแผนการผ่าตัดบางรายการที่ไม่ได้ทำจริง รวมทั้งรายละเอียดค่าใช้จ่ายรักษาและเวชภัณฑ์ในใบเสร็จ
ในช่วงนัดไต่สวนที่ 6 พยานจาก “แพทยสภา” 3 ราย ให้การไปในทิศทางเดียวกันว่า อาการไม่อยู่ในเกณฑ์วิกฤตจนจำเป็นต้องนอนโรงพยาบาลต่อเนื่องเป็นเวลานาน และ “สามารถรักษาแบบผู้ป่วยนอกได้” ทำให้ประเด็นความเหมาะสมของการพักรักษาบนชั้น 14 ยิ่งถูกเพ่งเล็ง
จำนวนพยานและกระบวนพิจารณา
คดีนี้ศาลไต่สวนพยานเป็นชุดๆ ครอบคลุมเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ แพทย์จากทั้งสองสังกัด ผู้บริหารโรงพยาบาล และผู้เชี่ยวชาญวิชาชีพ โดยสำนักข่าวของรัฐรายงานการนัดพร้อมและไต่สวนพยานหลายปากตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2568 เพื่อคลี่คลายข้อเท็จจริงเชิงเทคนิคทั้งด้านการแพทย์และการควบคุมตัวนักโทษ
วันตัดสินและนัยต่อหลักนิติรัฐ
อย่างไรก็ตาม แกนกลางของคดีไม่ใช่ถกเถียงว่าป่วยหรือไม่ป่วยเพียงอย่างเดียว แต่คือ “มาตรฐานการบังคับโทษ” ว่าเท่าเทียมและถูกต้องตามระเบียบราชทัณฑ์และกฎหมายหรือไม่ เมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริงและคำให้การที่แตกต่าง ศาลจึงนัดอ่านคำพิพากษาในวันที่ 9 กันยายน 2568 เพื่อวินิจฉัยว่า การส่งตัวเข้าชั้น 14 และการพักรักษายืดเยื้อหลายเดือนนั้นอยู่ในกรอบกฎหมายเพียงใด ซึ่งผลคำพิพากษาจะเป็นบรรทัดฐานต่อการดูแลผู้ต้องขังป่วยในอนาคต
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
