แบงก์ทรุดปันผลไม่แน่ คลังสั่งอัดฉีดเศรษฐกิจ
ทันหุ้น - สู้โควิด – แบงก์กร่อย! ธปท. ยังไม่ไฟเขียวปันผล ชี้ยังเจอภาวะความไม่แน่นอน รับหมดมาตรการพักชำระหนี้ NPL ขึ้น มองกว่าเศรษฐกิจจะฟื้นใช้เวลา 2 ปี เผยข้อมูล 40% ส่อมีปัญหาชำระหนี้ ด้านรัฐมนตรีคลัง เผยวิสัยทัศน์ ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเจาะ Investment Tourism ดึงดูดเม็ดเงินต่างชาติ
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ได้มีการมอบหมายให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ไปศึกษาหามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือปีนี้เพิ่มเติม หวังเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชน ซึ่งคงทำควบคู่ไปกับการออกนโยบายเพื่อส่งเสริมการงทุนของภาคเอกชนให้มากขึ้น โดยเฉพาะการส่งเสริมให้กลุ่มการท่องเที่ยวเพื่อการลงทุนเพิ่มเติม (Investment Tourism) เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศอีกทางหนึ่ง
โดยระยะสั้นจะให้ความสำคัญกับการบริหารภาพรวมเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวโดยเร็ว ได้แก่ การขับเคลื่อนมาตรการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ อาทิ การแก้ไขปัญหาสภาพคล่องของทั้งภาคธุรกิจเอกชนและภาคประชาชน โดยเฉพาะกลุ่ม SME เช่น มาตรการ Soft loan การเร่งรัดการปรับโครงสร้างหนี้, การเพิ่มกำลังซื้อของประชาชนในกลุ่มต่างๆ ผ่านมาตรการกระตุ้นการบริโภคที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติไปแล้ว, มาตรการรองรับปัญหาการว่างงานอันเกิดจากวิกฤต COVID 19)
ขณะเดียวกันยังจะการสร้างความเข้มแข็งฐานะการคลังอย่างยั่งยืน ดูแลกระแสเงินสดของภาครัฐ ให้เพียงพอต่อการเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจ ตลอดจนเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณในปี 2564 และ งบฟื้นฟูเศรษฐกิจภายใต้ พ.ร.ก. กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท
ระยะกลางคลังจะมีการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจและดูแลให้เศรษฐกิจไทยสามารถกลับมาเติบโตได้ตามศักยภาพ ทั้งการ ปรับโครงสร้างในส่วนของรายได้และรายจ่าย เช่น การจัดเก็บภาษี E-commerce, Online-trade และ E-logistics เพื่อสร้างความมั่นคงในอนาคตต่อไป
นอกจากนี้ยังเตรียมมาตรการฟื้นฟูหลังเศรษฐกิจเปิด (Reopening economy) ทั้งมาตรการด้านการเงินการคลังเพื่อรองรับการดำเนินการดังกล่าว และการเร่งรัดการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติที่ได้รับการอนุมัติแล้ว รวมทั้งการจัดแหล่งเงินลงทุน (Financing infrastructure) ที่เหมาะสม เพื่อสนับสนุนการดำเนินโครงการ เพื่อขับเคลื่อนการลงทุนภาครัฐในอนาคตเพิ่มเติม
ส่วนตัวเลขหนี้เสียนั้นไม่ได้กังวลมากนัก เพราะเรื่องนี้มีทางแบงก์ชาติประเมินและตัดสินใจอยู่แล้ว ส่วนเรื่องการชุมนุมทางการเมือง มองว่าจะเป็นปัจจัยในระยะสั้น และมองว่าคงจะไม่มีผลกระต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ภาคธุรกิจต่างๆ คงจะเดินหน้าธุรกิจต่อไปได้
@ คืนหนี้ได้แค่ 60%
นายเมธี สุภาพงษ์ รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุว่า ธนาคารพาณิชย์ได้เตรียมความพร้อมกับลูกค้าก่อนสิ้นสุดมาตรการพักชำระหนี้แล้ว โดยลูกค้าส่วนใหญ่ของธนาคารพาณิชย์ที่เข้ามาตรการพักชำระหนี้มีความสามารถกลับมาชำระคืนหนี้สถาบันการเงินได้ตามปกติเป็นสัดส่วนที่มากกว่า 60% ของจำนวนลูกค้าที่เข้ามาตรการพักชำระหนี้ทั้งหมด โดยยอมรับเศรษฐกิจไทยยังเผชิญความเสี่ยงและความไม่แน่นอน แต่ ธปท.ก็จะยังไม่ขยายระยะเวลามาตรการพักชำระหนี้ออกไป แต่จะเปลี่ยนมาใช้มาตรการที่ช่วยเหลือลูกหนี้ของธนาคารเป็นกลุ่มๆ แทน
สำหรับลูกหนี้ธนาคารในสัดส่วนที่เหลือราว 40% ที่อาจจะไม่สามารถกลับมาชำระหนี้ได้ตามปกตินั้น ธนาคารได้เตรียมความพร้อมทั้งการ ให้คำปรึกษากับลูกค้า และวางแผนการปรับโครงสร้างหนี้ให้กับลูกค้า ซึ่งลูกค้ากลุ่ม SMEs ยังมีความเสี่ยงที่ไม่สามารถกลับมาชำระคืนหนี้ได้ตามปกติ อย่างไรก็ดี ธปท. ก็มีโครงการ DR BIZ ที่จะช่วยแก้หนี้เดิมของธุรกิจที่มีเจ้าหนี้หลายราย และให้สินเชื่อใหม่แก่ลูกหนี้ที่มีศักยภาพ
@ไม่พิจารณาเรื่องปันผล
ขณะที่การผ่อนคลายมาตรการของสถาบันการเงินในส่วนของการขอความร่วมมือให้ธนาคารพาณิชย์งดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลนั้น ธปท. จะไม่ผ่อนคลายโดยเร็ว และเป็นสิ่งที่ ธปท. จะพิจารณาเป็นเรื่องสุดท้าย เพราะปัจจุบันสถานการณ์ของเศรษฐกิจยังเผชิญกับความไม่แน่นอนและความเสี่ยงค่อนข้างมาก ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลกที่มีความผันผวน และกดดันต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยด้วย ทำให้ยังมีความเสี่ยงที่จะกระทบต่อเสถียรภาพทางการเงินอยู่ค่อนข้างมาก
นายเมธี กล่าวว่า จากข้อมูลของธนาคารพาณิชย์ต่างๆ ที่ส่งมาให้กับธปท.ยังพบว่าเงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์ยังอยู่ในระดับที่สูง แม้จะลดลงเล็กน้อยจากช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดโควิด-19 ก็ตาม แต่ก็ยังแข็งแกร่ง รองรับกระทบได้อีกมาก โดย ธปท. มองว่ายังมีความเสี่ยงในเรื่องของหนี้ NPL ในระบบที่จะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และภาวะเศรษฐกิจที่ยังต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวอีก 2 ปี ทำให้ ธปท.ยังคงต้องระมัดระวังและพิจารณาปัจจัยอย่างรอบคอบก่อนผ่อนคลายมาตรการงดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล
@ กดดันหุ้นแบงก์
ด้านบริษัทหลักทรัพย์เคทีบี (ประเทศไทย) ระบุว่า จากกรณีที่ ธปท.เผยยังไม่ผ่อนคลายมาตรการงดปันผลระหว่างกาลกลุ่มแบงก์แม้เงินกองทุนสูง เหตุเพราะเศรษฐกิจยังคงมีความไม่แน่นอนในอนาคต จะปัจจัยลบต่อราคาหุ้นกลุ่มแบงก์ที่ให้ยิลด์ปันผลสูงในอดีต เช่น TISCO SCB BBL KKP ฯลฯ
แต่เป็นไปตามคาดหมายของเรา เนื่องจากในสถานการณ์ที่ยังมีความเสี่ยงที่เศรษฐกิจอาจกลายเป็น W-Shape จากผลกระทบรอบสองของโควิด-19 และวัคซีนรักษาฯ ที่ล่าช้า จะทำให้ผู้ดำเนินโยบายการเงินของประเทศส่วนใหญ่ รวมถึงสหรัฐฯ อียู ฯลฯ ต่างต้องชะลอการประกาศจ่ายปันผลปีนี้ออกไป เพื่อลดความเสี่ยงของวิกฤติสถาบันการเงินในอนาคต
ยังมุมมองเชิงลบต่อหุ้นกลุ่มแบงก์ และแนะนำให้หันไปลงทุนหุ้นกลุ่มไฟแนนซ์ทดแทน หุ้นแนะนำ SAWAD MTC