จีนกำลังการผลิตล้น ส่งผลต่อการค้าโลกอย่างไร?

จากอดีตที่จีนถูกยกย่องว่าเป็น “เครื่องยนต์หลัก” ของเศรษฐกิจโลก ด้วยการเติบโตอย่างก้าวกระโดดและเป็นฐานการผลิตของโลก ปัจจุบันจีนกำลังเผชิญกับปัญหาเชิงโครงสร้างครั้งใหญ่ นั่นคือ กำลังการผลิตส่วนเกิน (Overcapacity) ซึ่งไม่เพียงกระทบต่อเศรษฐกิจภายในประเทศ แต่ยังสร้างแรงสั่นสะเทือนไปยังเศรษฐกิจโลกและเสถียรภาพด้านภูมิรัฐศาสตร์ด้วย
จากรายงานล่าสุดของ Capital Economics ชี้ให้เห็นว่า กำลังการผลิตส่วนเกินของจีนเกิดจากการที่รัฐบาลลงทุนมหาศาลในภาคอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ “อุปสงค์ภายในประเทศ” กลับเติบโตไม่ทัน ทำให้โรงงานมีสินค้าเหลือจำนวนมาก และจำเป็นต้องระบายผ่านการส่งออกในราคาถูก ผลที่ตามมาอย่างชัดเจนคือ ราคาสินค้าส่งออกของจีนลดลงกว่า 20% จากช่วงพีคของโควิด-19 ส่งผลให้ราคาสินค้าในประเทศผู้นำเข้าอย่างสหรัฐฯ และยุโรปลดลงเฉลี่ยประมาณ 0.4% จนนักเศรษฐศาสตร์เริ่มกังวลว่า ภาวะเงินฝืด (deflation) อาจเกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก
ภายในประเทศจีนเอง ภาคการผลิตจำนวนมากกำลังเผชิญกับ “สงครามราคา” บริษัทต่างๆ ต้องหั่นราคาสินค้าให้ถูกที่สุดเพื่อแข่งขันและระบายของในสต็อก โดยข้อมูลจาก Capital Economics ระบุว่า บริษัทผู้ผลิตถึง 30% อยู่ในภาวะขาดทุนต่อเนื่อง แต่ยังอยู่รอดได้ด้วยเงินอุดหนุนจากรัฐบาลท้องถิ่นและสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ซึ่งหากสถานการณ์ยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป ระบบการเงินภายในจีนอาจต้องรับภาระหนักในระยะยาว
ปัจจัยที่ทำให้จีนยังยึดโมเดลการลงทุนหนักเป็นหลัก ก็เพราะ “การบริโภคภายในประเทศยังไม่ฟื้นตัว” และ “ภาคอสังหาริมทรัพย์ยังซบเซา” แม้จะเคยเป็นเสาหลักของการเติบโตทางเศรษฐกิจมาก่อน ด้วยเหตุนี้ จีนจึงเลือกผลักดันการเติบโตผ่านการผลิตในระดับสูงและเร่งส่งออก แต่การกระทำนี้กลับสร้างแรงกดดันให้กับผู้ผลิตในต่างประเทศที่ต้องลดราคาลงมาแข่ง ซึ่งท้ายที่สุดอาจทำให้ระบบการค้าโลกเข้าสู่ภาวะบิดเบี้ยว
สิ่งที่น่ากังวลมากไปกว่านั้นคือ ผลกระทบที่ลุกลามจากเศรษฐกิจสู่ภูมิรัฐศาสตร์ โดยประเทศตะวันตกเริ่มมองว่าจีนใช้ “ราคาถูก” เป็นอาวุธในการครองตลาดโลก และทำให้ห่วงโซ่อุปทานของโลกต้องพึ่งพาจีนมากเกินไป ความไม่สมดุลนี้อาจกลายเป็นชนวนความขัดแย้งทางการค้าระลอกใหม่ โดยเฉพาะในปี 2025 ที่หลายประเทศเริ่มรื้อแผนนโยบายกีดกันสินค้านำเข้าจากจีน และส่งเสริมการผลิตภายในประเทศ
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
