"EXIM Bank" ออกมาตรการช่วย "SMEs" เสริมสภาพคล่อง-ลดต้นทุน-กระจายเสี่ยง รับมือภาษีทรัมป์

นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) ได้ออกมาตรการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีแบบตอบโต้ของสหรัฐฯ ซึ่งครอบคลุมทั้งการเสริมสภาพคล่อง ลดต้นทุนทางการเงิน และช่วยกระจายความเสี่ยง โดย EXIM Bank เตรียมวงเงินไว้ให้ความช่วยเหลือสำหรับ SMEs ที่ได้รับผลกระทบ รวมถึงผู้ประกอบการที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานที่เกี่ยวข้อง แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ดังนี้
* ส่วนแรก : เป็นมาตรการบรรเทาผลกระทบจากตลาดเดิม ดังนี้
1.เสริมสภาพคล่องและลดต้นทุนทางการเงิน :
- ขยายเทอมการชำระเงินสูงสุด 365 วัน: ยืดเวลาการชำระหนี้ เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้แก่ผู้ส่งออก
- ลดอัตราดอกเบี้ยลงสูงสุด 20% จากอัตราเดิม: สำหรับสินเชื่อที่ได้รับการขยายเทอมการชำระเงิน และสินเชื่อที่มีการเบิกใช้ใหม่
- สินเชื่อหมุนเวียนทั้งก่อนและหลังการส่งออก: สินเชื่อหมุนเวียนดอกเบี้ยต่ำเพื่อเสริมสภาพคล่องทั้งก่อนและหลังการส่งออก
- มาตรการพักชำระเงินต้นสูงสุด 1 ปี (Pre-emptive) สำหรับผู้ที่มีสินเชื่อระยะยาว และเริ่มมีการค้างชำระหนี้
2.ปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต เพื่อลดต้นทุน และเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน :
- สินเชื่อระยะยาวเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต (Transformation Loan): เป็นวงเงินระยะยาวสำหรับการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต และลดต้นทุนการดำเนินงาน เช่น การปรับปรุงโรงงาน เครื่องจักร ระบบ อัตโนมัติ อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 2.75% (ระยะเวลากู้สูงสุด 5 ปี)
*ส่วนที่สอง : เป็นมาตรการสนับสนุนการหาตลาดใหม่ ทดแทนตลาดเดิม ดังนี้
1."เปิดตลาดใหม่" ช่วยกระจายความเสี่ยง
สินเชื่อหมุนเวียนหลังการส่งออกพร้อมประกันการส่งออก (EXIM Safe Trade): นอกจากการสนับสนุนเงินทุนหมุนเวียนแล้ว ผู้ส่งออกจะได้รับการชดเชยจากธนาคารหากไม่ได้รับชำระค่าสินค้าจากคู่ค้า อัตราดอกเบี้ย 3.99% ต่อปี
สินเชื่อเพื่อการร่วมงานแสดงสินค้า (EXIM-DITP Empower Financing): โดยเป็นเงินทุนหมุนเวียน สำหรับใช้จ่ายในการเข้าร่วมงานแสดงสินค้าในต่างประเทศเพื่อหาตลาดใหม่
2."คงการจ้างงาน" ด้วยเงินหมุนเวียน Soft Loan
สินเชื่อระยะยาวร่วมกับสำนักงานประกันสังคม: เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการให้แก่ SMEs เพื่อเสริมสภาพคล่องให้กับธุรกิจ อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 2.00% ต่อปี คงที่ 3 ปี
EXIM BANK ย้ำข้อตกลงภาษี 19% ช่วยไทยรักษาฐานการผลิต-หนุนส่งออกขยายตัวดีกว่าคาด
นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการ และรักษาการกรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า ความสำเร็จการเจรจาของทีมไทยแลนด์ ภายใต้การนำของนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลังในการเจรจาลดอัตราภาษีแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) กับสหรัฐฯ ได้เหลือเพียง 19% ซึ่งถือว่าต่ำกว่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ นับเป็นปัจจัยสำคัญที่จะรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในตลาดโลก โดยอัตราภาษี 19% ที่ได้มานั้นใกล้เคียงกับประเทศคู่แข่งสำคัญ อาทิ เวียดนาม (20%) และเท่ากับมาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ (19%) ขณะที่ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้แม้จะได้อัตราภาษีต่ำกว่าไทย (15%) แต่ยังมีต้นทุนการผลิตรวมสูงกว่าไทย
นายบัณฑิต เปิดเผยต่อไปว่า อัตราภาษี 19% ที่ได้รับจากสหรัฐฯ จะส่งผลดีต่อประเทศไทยในด้านการดึงดูดการลงทุนของต่างชาติ ทำให้ไทยจะยังสามารถรักษาฐานการผลิตและการลงทุนไว้ได้ รวมทั้งการลงทุนโดยตรงจากสหรัฐฯ โดยเฉพาะธุรกิจที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงและนวัตกรรมใหม่ นอกจากนี้ ในด้านการค้าระหว่างประเทศ ไทยมีโอกาสช่วงชิงส่วนแบ่งทางการตลาดจากประเทศที่มีอัตราภาษีสูงกว่าไทย เช่น อินเดีย (25%) เม็กซิโก (25%) และยังอยู่ระหว่างการขยายการเจรจา และแคนาดา (35%)
นายบัณฑิต กล่าวว่า ข่าวดีที่เกิดขึ้นนี้ส่งผลในเชิงบวกต่อเศรษฐกิจและแนวโน้มการขยายตัวของภาคส่งออกไทยในปี 2568 ตามที่ EXIM BANK เคยคาดการณ์ไว้ที่ 0.5-1.5% โดยมีแนวโน้มขยายตัวได้ดีกว่าที่คาด ประกอบกับทำให้ผู้ส่งออกคลายความกังวลลงได้มาก แม้จะยังต้องเผชิญแรงกดดันด้านราคา โดยเฉพาะกลุ่มที่มี Margin ต่ำและ SMEs ที่ยังมีความเปราะบางทางธุรกิจ ทั้งนี้ ประเทศไทยยังต้องใช้สิทธิถิ่นกำเนิดสินค้าให้ถูกต้อง เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติม 40% จากกรณีสินค้าผ่านประเทศที่สามหรือแอบอ้างถิ่นกำเนิดเพื่อประกอบและส่งผ่าน (Transshipped)
พร้อมกันนี้ ขอขอบคุณทีมไทยแลนด์ในความสำเร็จของการเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ ซึ่งเป็นก้าวสำคัญในการปกป้องผลประโยชน์ของประเทศไทย และยกระดับศักยภาพของประเทศไทยบนเวทีเศรษฐกิจโลก รวมทั้งสร้างความเชื่อมั่นแก่พันธมิตรทางการค้าและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยในตลาดการค้าโลก ความร่วมมือในครั้งนี้ยังสะท้อนถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นและยาวนานระหว่างประเทศไทยและสหรัฐฯ ซึ่งได้ร่วมมือกันในหลากหลายมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน และการพัฒนาอย่างยั่งยืนมาโดยตลอด โดย EXIM BANK พร้อมทำงานร่วมกับภาครัฐและภาคเอกชน เคียงข้างผู้ประกอบการไทย สนับสนุนทั้งด้านการเงินและเครื่องมือบริหารจัดการความเสี่ยงทางการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ ทั้งในตลาดการค้าหลักและตลาดใหม่ เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืนของประเทศไทยในทุกมิติ
ทั้งนี้ EXIM BANK ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง ได้ดำเนินการช่วยเหลือลูกค้า ตลอดจนส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการค้าระหว่างประเทศสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้อย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด เพื่อบรรเทาผลกระทบจากนโยบายภาษีแบบตอบโต้ของสหรัฐฯ ที่มีต่อผู้ประกอบการไทย อาทิ จัดตั้งคลินิกผู้ประกอบการ (EXIM Export Clinic) ให้คำปรึกษาแนะนำและช่วยเหลือผู้ส่งออกและนำเข้าที่ได้รับผลกระทบ โดยมีมาตรการเยียวยาผ่านการขยายระยะเวลาการชำระหนี้สูงสุด 365 วัน รวมถึงมาตรการเสริมสภาพคล่อง และปรับลดอัตราดอกเบี้ย ขยายความร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SMEs ขยายตลาดไปยังตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
