โควิดลามถุงมือพุ่งอีก STGT เห็นกำไร2500%
ทันหุ้น-สู้โควิด- STGT ชี้ความต้องการถุงมือยางยังมีต่อเนื่อง โควิดลามไม่หยุด ออเดอร์ล้นถึง 20 เดือนข้างหน้าแล้ว ขณะที่ราคาขายเฉลี่ยในไตรมาส 4/63 เพิ่มอีกขั้นต่ำ 12% จากไตรมาส 3 ที่พุ่งมาแล้ว 70% เล็งประกาศงบไตรมาส 3/63 วันที่ 13 พ.ย.นี้ คาดกำไรเติบโตแบบก้าวกระโดด 2,500% มาอยู่ที่ 2.4 พันล้านบาท มีลุ้นจ่ายปันผลหนัก
แหล่งข่าวจากวงการอุตสาหกรรม ระบุว่า บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)หรือ STGT ยังคงมีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง จากความต้องการถุงมือยางที่ยังมีอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะความต้องการของลูกค้าในต่างประเทศที่มีเข้ามาเป็นจำนวนมาก เพราะมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในต่างประเทศยังอยู่ในระดับที่สูง ขณะนี้ในเบื้องต้นปริมาณคำสั่งซื้อที่รอส่งมอบ หรือ backlogมีเข้ามาไปถึงประมาณ 20 เดือนข้างหน้าแล้ว ทั้งในส่วนของถุงมือยางธรรมชาติ (NR) และถุงมือยางสังเคราะห์ (NBR) ที่มีในระดับ backlog ในระดับที่ใกล้เคียงกัน
สำหรับราคาขายเฉลี่ยก็ยังอยู่ในระดับที่สูงตามปริมาณความต้องการที่มีมาก โดยคาดว่าราคาขายเฉลี่ยในไตรมาส 4/2563 ที่ประเมินไว้จะอยู่ไม่ต่ำกว่า 12% เติบโตจากไตรมาส 3/2563 ที่ราคาขายเฉลี่ยเติบโตประมาณ 70% ซึ่งทำให้ผลประกอบการไตรมาส 3/2563 เติบโตอย่างมากเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งบริษัทจะแจ้งผลประกอบการต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในวันที่ 13 พฤศจิกายน 2563 นี้
**โบรกฯ คาดกำไร Q3 โตก้าวกระโดด
บริษัทหลักทรัพย์เมย์แบงก์ กิมเอ็ง(ประเทศไทย) คาดว่า STGT ไตรมาส 3/2563 จะมีกำไรอยู่ที่ 2.7 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 158% จากไตรมาส 2/2563 และเพิ่มขึ้น 2,500% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน เนื่องจากปริมาณส่งมอบถุงมือยางราว 7.4 พันล้านชิ้น ทรงตัวจากไตรมาสก่อน ซึ่งเต็มกำลังการผลิตแล้ว แต่ทว่าราคาขายเฉลี่ยคาดเร่งขึ้น 70% จากไตรมาส 2/2563 และโต 78% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งหักล้างต้นทุนราคาน้ำยางข้นที่เพิ่มขึ้น ตามอุตสาหกรรมยานยนต์
นอกจากนี้มองว่าหุ้น STGTมีแนวโน้มจะให้ผลตอบแทนเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นที่ควรจะดีกว่าสมมติฐานของตลาด เพื่อให้สอดคล้องกับกำไรที่เติบโตแข็งแกร่ง ฐานะการเงินที่ดี ขณะที่ผู้ประกอบการถุงมือยางระดับโลกอันดับ 1 และ 2 มีการจ่าย Dividend Payout สูงระดับ 50-60% โดย STGT มีนโยบายการจ่ายปันผลไม่ต่ำกว่า 30%
กลยุทธ์การลงทุนแนะนำซื้อ โดยให้ราคาเหมาะสมของปี 2563 ที่ 90 บาทต่อหุ้น อิงพี/อี เรโชเฉลี่ย 10 ปี ของกลุ่มถุงมือยางในมาเลเซียที่ 20.5 เท่า โดยให้ข้อสังเกตว่าหากโมเมนตัมกำไรยังทรงตัวได้ตามประมาณการ การ Roll-Over ไปใช้ราคาเหมาะสมปีหน้าจะดันให้ราคาเหมาะสมข้ามสู่ระดับ 3 หลักได้ หากอิงพี/อี เรโชเป้าหมายตามเดิม
ขณะที่ปัจจัยเสี่ยง ได้แก่การกำหนดราคาขายในครึ่งหลังของปี 2564 ของถุงมือยางธรรมชาติ ยังไม่ได้กำหนดอย่างชัดเจน จากสถานการณ์การแพร่ระบาด และพัฒนาการของวัคซีนที่ยังคาดการณ์ไม่ได้ ทำให้ประมาณการกำไรปี 2564 ยังมีความไม่แน่นอน
**เล็งปรับกำไรเพิ่มขึ้น
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี(ประเทศไทย) มองว่าจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในต่างประเทศที่ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จะเป็นผลบวกต่อ STGTเนื่องจากจะสร้างความเชื่อมั่นเรื่องความต้องการถุงมือยางจะยังปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และเป็นเวลานาน ส่งผลให้ราคาถุงมือยางมีแนวโน้มปรับขึ้นได้อีกในปี 2564
ยังคงแนะนำซื้อ STGT พร้อมให้ราคาพื้นฐานอยู่ที่ 116 บาทต่อหุ้น มองว่าราคาหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น และ outperformตลาดหุ้นในช่วง 3 เดือน แม้มีข่าวความคืบหน้าการผลิตวัคซีน อย่างไรก็ตามคาดว่าความต้องการยังคงดีต่อเนื่องถึงสิ้นปี 2564 ตามจำนวนผู้ติดเชื้อกลับมาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดยประมาณการกำไรสุทธิปี 2563 อยู่ที่ 5,747 ล้านบาท เติบโต 806%จากปีก่อน ส่วนในปี 2564 คาดกำไรอยู่ที่ 6,132 ล้านบาท เติบโต 7% และมีโอกาสปรับเพิ่ม หลังจาก STGTได้ประกาศงบไตรมาส 3/2563 จากแนวโน้มราคาขายที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงกว่าสมมติฐานที่ได้คาดการณ์