บทเรียนจาก “รวันดา” สะท้อนความขัดแย้งไทย-กัมพูชา เมื่อความเกลียดชังปะทุในสังคมไทย

ในปี 1994 ประเทศรวันดา ในทวีปแอฟริกา กลายเป็นสมรภูมิแห่งความโหดร้ายที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ เมื่อความเกลียดชังระหว่างสองเผ่าพันธุ์ “ทุตซี” และ “ฮูตู” ปะทุขึ้นอย่างรุนแรง จากคำพูดที่ถูกปลุกปั่นผ่านคลื่นวิทยุ สู่การไล่ล่าสังหารผู้คนกว่า 800,000 คน ในระยะเวลาเพียง 3 เดือนเศษ
ภาพยนตร์ Hotel Rwanda ถ่ายทอดเหตุการณ์จริงนี้ไว้อย่างทรงพลัง ผ่านเรื่องราวของชายคนหนึ่งที่พยายามปกป้องผู้คนในโรงแรมเล็ก ๆ ให้รอดพ้นจากการสังหาร ในขณะที่โลกภายนอกเลือกจะเพิกเฉย
นำมาสู่คำถามกับบริบทในสังคมไทย ที่กำลังก้าวเช้าสู่วังวนความขัดแย้ง เกลียดชังระหว่าง ไทย-กัมพูชา ว่าจะนำไปสู่ความรุนแรงในระดับใด? หรือจะเดินซ้ำรอยประวัติศาสตร์แห่งความโหดเหี้ยมใน “รวันดา”
ขบวนการส่งเสริมสุขภาพประชาชน (ขสช.) เปิดกิจกรรมชวนประชาชนร่วมชมภาพยนตร์ Hotel Rwanda ณ หอศิลปวัฒนธรรม กรุงเทพฯ ก่อนเปิดเวทีเสวนาเพื่อถอดบทเรียนจากเหตุการณ์จริงที่สะท้อนภาพสังคมไทยที่กำลังอยู่ในสถานการณ์ที่แบ่งคนเป็น 2 ฝ่าย
จาก “Hotel Rwanda” สู่บทเรียน "มนุษยธรรม"
นางอังคณา นีละไพจิตร สมาชิกวุฒิสภา กล่าวถึงภาพยนตร์ Hotel Rwanda ว่า เป็นเรื่องจริงที่ชี้ให้เห็นถึงอำนาจของคำพูด และอันตรายจากสื่อ เมื่อถูกใช้เพื่อการปลุกปั่นความเกลียดชัง
สื่อใน “รวันดา” เคยใช้คำเรียกชาวทุตซีว่าแมลงสาบ ก่อนจะประกาศชื่อและที่อยู่ของชาวทุตซี่ผ่านคลื่นวิทยุให้ชาวมูตูไปตามทำร้าย หรือสังหาร เป็นความรุนแรงที่ไม่มีองค์กรใดกล้าเข้าแทรกแซง นำมาสู่โศกนาฏกรรม และความสูญเสียนับล้าน
อังคณาเชื่อว่า เหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทย–กัมพูชาที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นอคติทางชาติพันธุ์ที่ไม่ต่างกับที่เคยเกิดขึ้นใน “รวันดา” เมื่อกลุ่มผู้ใช้สื่อออนไลน์จำนวนมาก กำลังส่งต่อความเกลียดชังไปยังคนคิดต่าง
“ดิฉันเคยตกเป็นเหยื่อของความเกลียดชัง ถูกแขวนชื่อในโลกออนไลน์ ชวนให้นึกถึงเหตุการณ์เมื่อ 6 ตุลาคม 2519 หากเราไม่ยุติ วาทกรรมเกลียดชัง วันหนึ่งเหยื่อรายต่อไปอาจเป็นคุณ หรือคนที่คุณรัก” อังคณากล่าว
ประชาชนได้อะไร? จากไฟแห่งความขัดแย้ง
วรา จันทร์มณี นักวิชาการอิสระ ชี้ว่าภาพยนตร์ Hotel Rwanda คือ เตือนให้สังคมไทยคิดถึงผลลัพธ์อันน่าสะพรึงกลัวของการแบ่งแยกและความเกลียดชังที่ฝังรากลึก ซึ่งไม่ต่างอะไรกับปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมไทย
ขณะที่ท่ามกลางความขัดแย้งเกลียดชังที่คุกรุ่น สื่้อมวลชนในฐานะสื่อกลางในการสร้างความรู้ความเข้าใจระหว่างกัน และมีหน้าที่เป็นทั้งผู้ดับไฟและผู้สุมไฟ แต่ในความขัดแย้งปัจจุบัน เรากลับเห็นสื่อจำนวนมากถูกตั้งคำถามเรื่องจรรยาบรรณ
“สื่อต้องทำหน้าที่เป็นกระจกคอยตรวจสอบสะท้อนข้อเท็จจริงอย่างซื่อตรง รอบด้าน เป็นธรรม โดยปราศจากอคติ และเป็นไฟฉายส่องทาง วิเคราะห์ แยกแยะ เป็นพื้นที่กลางที่จะนำเสนอทางออกที่ดีแก่สังคม สื่อต้องทำหน้าที่ดับไฟ ให้สติกับสังคม ไม่ใช่เติมเชื้อไฟ” วรา กล่าว
ด้านนายจะเด็จ เชาวน์วิไล ที่ปรึกษามูลนิธิหญิงชายก้าวไกล เตือนว่า การปลุกกระแสชาตินิยมระหว่าง ไทย–กัมพูชา ในโลกออนไลน์ กำลังถูกใช้เป็น เครื่องมือทางการเมืองของผู้นำทั้งสองประเทศ พร้อมย้ำว่าการสร้างความขัดแย้งในหมู่ประชาชนจึงไม่เป็นประโยชน์ในโลกยุคใหม่
“เมื่อดูประวัติศาสตร์ในอดีตแล้วในดินแดนไทยและกัมพูชานั้นมีการผสมผสานทางวัฒนธรรมมานาน ไทยหรือสยามในอดีต ภาษาเขมรหรือวัฒนธรรมเขมรเราก็เอามาปรับใช้ เขมรก็ใช้วัฒนธรรมไทยมาปรับใช้ และเดินทางอพยพ แต่งงานกัน เหมือนพี่น้องกัน และมีงานวิจัย DNA ที่คนไทยภาคกลางอีสาน เหนือ ใต้มีพันธุ์กรรม ไทกะได มอญ เขมร อยู่
ดังนั้นประชาชนไม่ได้ประโยชน์อะไรจากความขัดแย้งนี้ เพราะวันหนึ่งเราก็ต้องสัมพันธ์กันอยู่ดี ยังคงต้องทำมาหากินกันต่อไป” จะเด็จกล่าว
"หยุดคิด" ก่อนที่คำพูดจะกลายเป็นอาวุธ
ทิชา ณ นคร ผู้อำนวยการศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน(ชาย) บ้านกาญจนาภิเษก กล่าวว่าภาพยนตร์ Hotel Rwanda ในมุมมองของเธอเป็นเครื่องมือเปลี่ยนเชื้อโรคในสังคม ให้กลายเป็นวัคซีนทางความคิด
เธอเล่าว่า เยาวชนในบ้านกาญจนาฯ ต้องฝึกวิชาชีวิตผ่านการ ดู–คิด–ย่อย–คาย ไม่ใช่เพื่อความบันเทิง แต่เพื่อเรียนรู้ความเชื่อมโยงระหว่างอารมณ์ ความรุนแรง และผลของการตัดสินใจ
“เราถามเด็กว่า การเรียกทุตซีว่า ‘แมลงสาบ’ เกี่ยวข้องกับสงครามล้างเผ่าพันธุ์อย่างไร? แล้วให้พวกเขาคิดต่อว่า เมื่อบ้านกาญจน์ปักหมุดไว้ว่าไม่มีพื้นที่ให้ความรุนแรง พวกเขารู้สึกขัดแย้งไหม? เป็นคำถามที่ทำให้เยาวชนไม่เพียงเห็นความโหดร้าย แต่เห็นรากของมันในความคิดมนุษย์” ทิชา กล่าว
จาก "รวันดา" ถึง "ไทย" ความเกลียดชังไม่เคยเริ่มจากอาวุธ แต่เริ่มจากคำพูดเสมอ
เมื่อคำพูดสร้างความเกลีดชัง แบ่งแยก เหยียดหยาม ลดทอนคุณค่าผู้อื่น หากสังคมยอมให้คำพูดแบบนั้นกลายเป็นเรื่องปกติ ความรุนแรงก็จะกลายเป็นผลลัพธ์ที่ตามมา
“Hotel Rwanda” ไม่ใช่แค่หนังเกี่ยวกับอดีตอันโหดร้ายของประเทศหนึ่ง แต่อาจเป็นกระจกสะท้อนอนาคตของสังคมที่ปล่อยให้ความเกลียดชังเดินนำหน้าเหตุผล
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
