BGRIMลุ้นขึ้นเอฟที MSCIเพิ่มน้ำหนักลงทุน
#BGRIM #ทันหุ้น - BGRIM เฮ! MSCI เพิ่มน้ำหนักลงทุน เริ่ม 31พ.ค.นี้ เปิดงบไตรมาส 1/2565 รายได้โต 41% เงินสดในมือกว่า 2.6หมื่นล้านบาท ต้นทุนก๊าซกดดันกำไร ชี้รัฐทยอยขึ้นค่าเอฟทีแล้ว คาด ก.ย.ขึ้นอีก แถมมีแผนบริหารต้นทุน จ่อนำเข้า LNG ปี 2566 ลุยเพิ่มพอร์ตไม่น้อยกว่า 1,000เมกะวัตต์ ปีนี้ การซื้อไฟฟ้าของลูกค้าอุตสาหกรรมจะเติบโตประมาณ 10-15%
MSCI ได้ประกาศการคำนวณดัชนีชุดใหม่ จะมีผลการปรับน้ำหนัก วันที่ 31 พฤษภาคม 2565 โดยหุ้นไทยที่ถูกเพิ่มน้ำหนัก มี 4 บริษัท คือ BDMS, EA, OSP, BGRIM คิดเป็นเม็ดเงินราว +26 ถึง +6 ล้านดอลลาร์ ต่อบริษัท
ดร.ฮาราลด์ ลิงค์ ประธาน บี.กริม และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM เปิดเผยว่า สถานการณ์ราคาเชื้อเพลิงที่ปรับตัวสูงขึ้น คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) จึงได้มีการประกาศขึ้นค่าไฟฟ้าตามสูตร (ค่า Ft) 2ครั้ง เริ่มจาก 16.17 สตางค์ต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง ในเดือนมกราคม 23.38สตางค์ต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมงในเดือนพฤษภาคม และคาดว่าจะปรับอีกครั้งในเดือนกันยายน
นอกจากนี้ BGRIMได้บริหารจัดการต้นทุนอย่างต่อเนื่อง ทั้งการเตรียมนำเข้า LNG ภายใต้สัญญาระยะยาวตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นไป และไตรมาส 1ที่ผ่านมา บริษัทได้ลงนามสัญญา Terminal Usage Agreement กับ PTT LNG เพื่อรองรับการนำเข้าแล้ว นอกจากนี้บริษัทยังได้ควบคุมค่าใช้จ่ายทั้งองค์กร รวมทั้งการปรับปรุงประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต ทั้งการสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ทดแทนโครงการเดิม (SPP Replacement) ทั้ง 5 โครงการที่จะเริ่มดำเนินการในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งจะลดอัตราการใช้ก๊าซลงราว 15% การปรับปรุงโรง BPWHA และ ABP4 รวมทั้งการนำเทคโนโลยี Digital Twins ร่วมกับ Siemens มาใช้ในการบำรุงรักษาโรงงานให้มีประสิทธิภาพสูงสุดอีกด้วย
ตลอดจนการขยายธุรกิจจำหน่ายไฟฟ้าให้กับลูกค้าอุตสาหกรรม และการเติบโตจากเกือบทุกกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมหลัก โดยประเมินว่าปริมาณการซื้อไฟฟ้าของลูกค้าอุตสาหกรรมจะเติบโตประมาณ 10-15%ในปีนี้
ส่วนการเข้าลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์รวม 88 เมกะวัตต์ ของกลุ่ม reNIKOLA ประเทศมาเลเซีย จะเสร็จสมบูรณ์ภายในปี 2565จะเป็นปัจจัยสนันสนุนผลการดำเนินการในช่วงเวลาที่เหลือของปี
@ สุดแกร่งเงินสดสูง
สำหรับผลประกอบการไตรมาสที่ 1 ปี 2565 มีรายได้รวมเพิ่มขึ้น 41%จากช่วงเดียวกันของปีก่อนจาก 1. ปริมาณไฟฟ้าที่ขายให้ลูกค้าอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นทั้งจากลูกค้ารายเดิมและรายใหม่ 2. ราคาขายไฟฟ้าต่อหน่วยที่เพิ่มขึ้น รวมถึง 3. ปริมาณการจำหน่ายไฟฟ้าที่เติบโตจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนในประเทศไทยและ สปป. ลาว ด้านกำไรสุทธิ-ส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ 23ล้านบาท ลดลง 96.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากราคาก๊าซธรรมชาติที่ปรับตัวขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางราคาขายที่ปรับขึ้นเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป ส่งผลให้มาร์จิ้นการขายไฟฟ้าให้กับลูกค้าอุตสาหกรรมลดลง
ดร.ฮาราลด์ ลิงค์ ระบุว่า BGRIM มีฐานะการเงินแข็งแกร่ง โดยมีเงินสดในมือกว่า 2.6 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีกระแสเงินสดที่มั่นคงจากโครงการโรงไฟฟ้าที่เปิดดำเนินการแล้ว 53โครงการ การได้รับการอนุมัติขยายวงเงินหุ้นกู้เป็นไม่เกิน 100,000ล้านบาท ในระยะเวลาไม่เกิน 5 ปี (พ.ศ. 2565-2569) จากที่ประชุมผู้ถือหุ้นที่ผ่านมา และการสนับสนุนจากหลายสถาบันการเงิน เพื่อเตรียมความพร้อมและความคล่องตัวในการบริหารด้านการเงิน รองรับการเติบโตของธุรกิจ และโอกาสในการลงทุนที่จะเข้ามาในอนาคต
ในปีนี้ บริษัทยังมีการขยายความร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำ เพื่อขยายโอกาสทางธุรกิจ โดยในเดือน มีนาคมที่ผ่านมา บริษัท ได้ทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับกลุ่มทรู เพื่อร่วมมือพัฒนานวัตกรรมดิจิทัลเพื่อธุรกิจพลังงาน ประกอบด้วย 1. การพัฒนาระบบโครงการพื้นฐานดิจิทัลด้วยพลังงานอัจฉริยะ 2. การพัฒนาโครงการนวัตกรรม Smart Grid ผ่านเทคโนโลยี 5G 3. การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และ 4. การพัฒนาระบบนิเวศเศรษฐกิจใหม่และการส่งเสริมสตาร์ทอัพในประเทศไทย
*ขยายกำลังการผลิตตามแผน
ส่วนความคืบหน้าของโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างในปีนี้มีอีกหลากหลายโครงการ ประกอบด้วย โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์อู่ตะเภา เฟส 1ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 18 เมกะวัตต์ ตั้งอยู่ในจังหวัดระยอง ปัจจุบันมีความคืบหน้าในการก่อสร้าง 65%โดยมีกำหนดเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ปลายปี 2565และโครงการโรงไฟฟ้า BGPAT2 & BGPAT3 ขนาดกำลังการผลิตติดตั้งแห่งละ 140เมกะวัตต์ กำหนดการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในปี 2566
ปัจจุบัน บี.กริม เพาเวอร์ มีโครงการที่เปิดดำเนินการแล้วทั้งหมด 53 โครงการ โดยมีเป้าหมายที่จะมีกำลังการผลิตรวมของโครงการใหม่ ไม่น้อยกว่า 1กิกะวัตต์ภายในปีนี้ ทั้งจากโครงการที่ก่อสร้างใหม่และการเข้าซื้อกิจการตั้งอยู่ในหลากหลายประเทศ โดยยังคงเป้าหมายการมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า 7,200เมกะวัตต์ ภายในปี 2568 และ 10,000เมกะวัตต์ภายในปี 2573