รีเซต

ตลาดหุ้นไทยลุ้น 3 ปัจจัยพลิกฟื้นในครึ่งหลังปี 2568

ตลาดหุ้นไทยลุ้น 3 ปัจจัยพลิกฟื้นในครึ่งหลังปี 2568
TNN ช่อง16
9 มิถุนายน 2568 ( 18:24 )
15

นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ภาวะตลาดหลักทรัพย์ไทยเดือนพฤษภาคม 2568 ดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index ) ปิดที่ระดับ 1,149.18 จุด ปรับลดลง 4% จากเดือนก่อนหน้า ถือว่าปรับลงค่อนข้างมากหากเทียบกับภูมิภาค เป็นผลมาจาก 2 สาเหตุหลัก คือ 1) ช่วงกลางเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา สหรัฐ-จีน มีการนัดเจรจาที่สวิสเซอร์แลนด์ ซึ่งมีแนวโน้มที่ดี แต่ช่วงปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมากลับเห็นทิศทางความไม่แน่นอนอีกครั้ง 


และ 2) ในสิ้นเดือนพ.ค.ทาง  MSCI ปรับลดน้ำหนักหุ้นไทย 3 หลักทรัพย์จากการคำนวณดัชนี  MSCI Global Standard Index ได้แก่ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ,บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC และ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC ซึ่งหุ้นทั้ง 3 บริษัทมีสัดส่วนเกือบ 1% ของตลาดวม ทำให้ SET Index ปรับลงมา ทั้งนี้ การลดน้ำหนักของ MSCI จะมีด้วยกัน 2 รอบต่อปี ในเดือนพฤษภาคมและพฤศจิกายนตามลำดับ 


ขณะที่ ปัจจัยภายในประเทศ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สศช. แถลง GDP  ไตรมาสที่ 1/2568 ขยายตัว 3.1% จากการส่งออกที่เร่งตัวขึ้นจากการเร่งส่งมอบสินค้าก่อนการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ และการลงทุนภาครัฐที่ฟื้นตัวอย่างโดดเด่น ทำให้บริษัทจดทะเบียน รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2568 โดยภาพรวมมีกำไรสุทธิเติบโตต่อเนื่องจากการขยายตัวของภาคการส่งออก และภาคบริการ เช่น อาหารและเครื่องดื่ม สินค้าอุปโภคบริโภค ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ค้าปลีก ขนส่ง และโทรคมนาคม นอกจากนี้บริษัทจดทะเบียน ( บจ.) กว่าครึ่งยังรายงานกำไรสุทธิเท่ากับหรือสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ ซึ่งหลักๆ มาจากการได้รับอานิสงส์จากราคาน้ำมันดิบโลกซึ่งเป็นต้นทุนหลักที่ปรับลดลง 

นอกจากนี้ รายจ่ายดอกเบี้ยของ บจ. ในไตรมาส ล่าสุดยังสะท้อนถึงต้นทุนทางการเงินที่ลดลง สอดคล้องกับการลดดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย ( ธปท.) 


นายศรพล เปิดเผยว่า หากมองไปในแนวโน้มเดือนมิถุนายนนี้ ยังรอต้องจับตาผลการเจรจาระหว่างไทยและสหรัฐ ที่จะครบกำหนด 90 วัน ในวันที่ 7 กรกฎาคม 2568 หลังคบกำหนดเวลาผ่อนคลาย 90 วัน ซึ่งหากมีความชัดเจนจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นทั่วโลก รวมทั้งตลาดหุ้นไทย เนื่องจากตลาดหุ้นไม่ชอบความไม่ชัดเจน และโดยรวมตลาดรับข่าวเชิงลบไปพอสมควรแล้ว หากชัดเจนก็จะหนุนตลาดให้ปรับขึ้นได้  


อย่างไรก็ตาม จากการคาดการณ์ GDP ปี 2568 ของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังค มแห่งชาติ (สศช.) ที่คาดว่าจะขยายตัวทั้งปี 1.8% ทำให้ครึ่งปีหลังเศรษฐกิจไทยจะชะลอตัวลงมากกว่าครึ่งปีแรก ทำให้นักลงทุนอาจจะกังวล โดยยังต้องจับตานโนบายทางการเงินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากงบประมาณ 1.57 แสนล้านบาทว่าจะเริ่มใช้ได้เมื่อไร หรือใช้ในด้านไหน และติดตามนโยบายทางการเงินที่ปี 2568 ที่มีโอกาสจะลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมเพื่อดูแลการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หลังธปท.มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปแล้ว 2 ครั้ง ซึ่งหากดอกเบี้ยผ่อนคลยจะเป็นบวกกับตลาาดหุ้นไทย โดยปัจจุบันธปท.อยู่ระหว่างการสรรหาผู้ว่าฯ ธปท.คนใหม่เข้ามาดำรงตำแหน่ง

ส่วนกรณีที่วันนี้ (9 มิ.ย. 2568) สศช. รายงานตัวเลขการจ้างงาน ไตรมาส 1/2568 ลดลง 0.5% และมีแนวโน้มที่การจ้งงานจะลดลง โดยเฉพาะการจ้างงานนักศึกษาจบใหม่จะส่งผลต่อยอดขายหรือผลการดำเนินงานของบจ.อย่างไรนั้น  นายศรพล มองว่ายังต้องติดตามว่าจะกระทบต่อกำลังซื้อในประเทศ และยอดขายของ บจ.มากน้อยแค่ไหน เนื่องจากแม้ว่าบจ.ส่วนใหญ่จะมีรายได้จากในประเทศ แต่กว่า 40% ของ บจ.ทั้งหมดมีรายได้จากต่างประเทศด้วย ดังนั้น ถึงจะกระทบก็อาจไม่ได้กระทบรุนแรง เพราะรัฐบาลเองก็อยู่ระหว่างผลักดันงบประมาณในโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนในวงเงินประมาณ 1.57 แสนล้านบาทด้วย 


ขณะที่มูลค่าหุ้นไทยก็ลงมาต่ำอยู่ในระดับที่น่าสนใจ ทำให้โอกาสที่หุ้นไทยจะปรับลงรุนแรงก็จำกัด และแม้สภาพคล่องของการซื้อขายในตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้จะลดลงบ้าง แต่หุ้นไทยยังมีครองแชมป์ในภูมิภาคอาเซียน และยังมีโอกาสลุ้นเม็ดเงินลงทุนจากนักลงทุนต่างประเทศอยู่ ซึ่งนักลงทุนรอความชัดเจนการใช้งบประมาณที่เป็นรูปธรรม 


ด้าน นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ในกรณีเลวร้ายที่หากไทยอาจถูกสหรัฐเรียกเก็บภาษี 36% อาจจะส่งผลให้การเติบโตทางเศรษฐกิจไทยขยายตัวที่ 1% นั้น ยังไม่สามารถประเมินได้ว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยจะร่วงลงไประดับใด แต่ยอมรับว่าจะส่งผลกระทบต่อบริษัทจดทะเบียนแน่นอน แต่มากน้อยยังต้องติดตาม 


อย่างไรก็ตาม ช่วงครึ่งปีหลังยังคงคาดเดาได้ยาก โดยมองว่าพื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังทรงตัว แต่ราคาหุ้นไทยต่ำอยู่แล้ว โดยจากการพบปะกับนักลงทุนต่างชาติส่วนใหญ่มองว่าประเทศไทย ยังเป็นประเทศที่น่าเข้ามาลงทุนในช่วงที่มีความผันผวน  และอยากให้ภาครัฐมีความชัดเจนในโครงการลงทุน โดยเฉพาะการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานในระยะยาว ซึ่งกองทุนต่างชาติให้ความสนใจและอยากเห็นการลงทุนเกิดขึ้นจริง ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนระยะยาว 


ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง