รีเซต

“เอลนีโญ” กำลังกลับมา ดร.เสรีชี้ ครึ่งหลังปี 69 ไทยเสี่ยงร้อนจัด-แล้งยาว

“เอลนีโญ” กำลังกลับมา ดร.เสรีชี้ ครึ่งหลังปี 69  ไทยเสี่ยงร้อนจัด-แล้งยาว
TNN ช่อง16
27 ธันวาคม 2568 ( 11:30 )
3

ปรากฏการณ์ “เอลนีโญ” และ “ลานีญา” เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้นสลับกันในมหาสมุทรแปซิฟิก และเป็นส่วนหนึ่งของระบบการหมุนเวียนของแระแสน้ำและอากาศในมหาสมุทร ทั้งสองปรากฏการณ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของปรากฏการณ์ “เอนโซ” (ENSO) ซึ่งส่งผลกระทบต่อปริมาณฝน อุณหภูมิ พายุ และความแปรรวนของสภาพอากาศในหลายภูมิภาครวมถึงประเทศไทย

  

“เอลนีโญ” และ “ลานีญา” คืออะไร?

ปรากฏการณ์ “เอลนีโญ” เกิดจากอุณหภูมิผิวน้ำทะเลในมหาสมุทรแปซิฟิกอุ่นขึ้นกว่าค่าเฉลี่ย ลมค้าที่เคยพัดจากตะวันออกไปตะวันตกอ่อนกำลังลง กระแสน้ำอุ่นที่เคยไหลจากอเมริกาใต้ไปยังอินโดนีเซียถูกพัดเข้าหาชายฝั่งตะวันตกของประเทศเปรูและเอกวาดอร์ ทำให้ฝนตกหนักในพื้นที่บริเวณดังกล่าว ซึ่งอุณหภูมิน้ำในมหาสมุทรอุ่นขึ้นกว่าปกตินี้ยังเพิ่มความเสี่ยงของพายุฝนรุนแรง ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันขึ้นได้ ขณะเดียวกันฝนที่เคยตกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และออสเตรเลียตอนเหนือมีปริมาณลดลง อุณหภูมิสูงขึ้น และฤดูฝนล่าช้า อากาศร้อนและแห้งแล้ง เสี่ยงเกิดภัยแล้งและภาวะขาดแคลนน้ำ

ส่วน “ลานีญา” เป็นปรากฏการณ์ขั้วตรงข้ามกับ “เอลนีโญ” เกิดขึ้นเมื่ออุณหภูมิผิวน้ำทะเลในมหาสมุทรแปซิฟิกเย็นลงกว่าค่าเฉลี่ย ทำให้ลมค้ามีกำลังแรงขึ้น ช่วยเสริมการยกตัวของอากาศและก่อตัวของเมฆฝน ส่งผลให้เกิดฝนตกหนักในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เสี่ยงน้ำท่วมรุนแรง ดินโคลนถล่ม และอุณหภูมิต่ำในช่วงฤดูหนาว แต่ขณะเดียวกันพื้นที่ทางตอนเหนือของทวีปอเมริกาใต้จะมีฝนน้อยลง เสี่ยงเกิดภัยแล้งรุนแรงได้

นอกจากนี้ในช่วงระยะเวลาเปลี่ยนผ่านจากปรากฎการณ์ “เอลนีโญ” สู่ “ลานีญา” หรือ “ลานีญา” สู่ “เอลนีโญ” ยังมีอีกหนึ่งช่วงคือ “สภาวะเป็นกลาง” เป็นช่วงที่อุณหภูมิของมหาสมุทรแปซิฟิกใกล้เคียงกับค่าปกติ การไหลเวียนของลมค้าและกระแสน้ำอุ่นอยู่ในภาวะปกติไม่ได้เอนเอียงไปทางเอลนีโญหรือลานีญาอย่างชัดเจน

ต้นปี 2569 “ลานีญา” ยังอยู่

ในช่วงปลายปี 2568 อุณหภูมิผิวน้ำทะเลในมหาสมุทรแปซิฟิกบริเวณเขตศูนย์สูตรส่วนใหญ่ยังต่ำกว่าค่าปกติเล็กน้อย ปรากฏการณ์เอนโซจึงอยู่ในสภาวะลานีญา และมีแนวโน้มจะยังคงอยู่ต่อเนื่องไปจนถึงช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2569 และมีความน่าจะเป็นถึงร้อยละ 68 ที่จะเปลี่ยนกลับเข้าสู่สภาวะเป็นกลางในช่วงเดือนมกราคม-มีนาคม 2569 ช่วงที่ยังอยู่ในสภาวะลานีญาแม้จะมีกำลังอ่อน แต่ก็อาจทำให้บางภูมิภาคมีปริมาณฝนเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่เมื่อเข้าสู่สภาวะเป็นกลาง ปริมาณฝนจะลดลง สภาพอากาศมีแนวโน้มร้อนและแห้งแล้งในบางพื้นที่ของภูมิภาคตะวันออกกลาง แอฟริกา และอเมริกาใต้ในบางช่วง โดยปกติแล้วปรากฏการณ์ลานีญาจะเกิดขึ้นเฉลี่ยทุก 2-3 ปี แต่ละรอบมีระยะเวลานาน 9-12 เดือน หรือบางครั้งอาจนานถึง 2 ปี แต่ในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าสภาพอากาศมีความแปรปรวน ส่งผลต่อรอบการเกิดปรากฏการณ์เอลนีโญและลานีญาสั้นลงไปจากเดิม ซึ่งเป็นผลจากอุณหภูมิโลกที่เพิ่มสูงขึ้น 

 

ดร.เสรีชี้ ปี 2569 เสี่ยงร้อนจัด-แล้งนาน

แม้ว่าช่วงต้นปี 2569 ยังอยู่ในสภาวะลานีญากำลังอ่อนและเปลี่ยนสู่สภาวะเป็นกลาง แต่มีแนวโน้มสูงที่ปรากฏการณ์ “เอลนีโญ” จะเร่งตัวเพิ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงครึ่งปีหลังของปี 2569 เป็นต้นไป สอดคล้องกับ รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและภัยพิบัติ มหาวิทยาลัยรังสิตระบุว่าปรากฏการณ์ “ลานีญา” จะเปลี่ยนผ่านสู่ “เอลนีโญ” ในช่วงกลางปี 2569 ทำให้ช่วงต้นถึงกลางฤดูฝน ปริมาณฝนน้อยกว่าปกติ เนื่องจากเริ่มเข้าสู่ “เอลนีโญ” อย่างเต็มตัวและจะเร่งตัวสูงสุดในช่วงปลายปี หากฝนไม่ดีในปี 2569 ก็จะส่งผลกระทบต่อปีถัดไป ซึ่งยังต้องประเมินสถานการณ์เป็นระยะ 

แม้ในปี 2568 ประเทศไทยมีต้นทุนน้ำดี วัดจากปริมาณฝนที่มากกว่าค่าเฉลี่ยปกติเล็กน้อย แต่ในปี 2569 ต้องเฝ้าระวังเพื่อเตรียมรับมือกับภัยแล้ง ปริมาณน้ำฝนอาจน้อยกว่าปกติ เนื่องจากเริ่มเข้าสู่ภาวะ “เอลนีโญ” แม้จะมีน้ำเสำหรับการอุปโภคและบริโภค แต่อาจไม่เพียงพอต่อภาคการเกษตร โดยเฉพาะพื้นที่นอกเขตชลประทาน และคาดว่าจะรุนแรงขึ้นในปี 2570 หากปริมาณฝนในปี 2569 อยู่ในระดับต่ำ ฤดูร้อนปี 2569 คาดการณ์ว่า อุณหภูมิจะสูงกว่าปกติ โดยเฉพาะช่วงเดือนเมษายนถึงช่วงกลางปี สภาพอากาศในหน้าร้อนจะร้อนมาก ซึ่งส่งผลกระทบต่อผลผลิตทางการเกษตรได้ 

โลกร้อนทำให้รอบการเกิด “เอลนีโญ-ลานีญา” สั้นลง

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภาวะโลกร้อนส่งผลให้สภาพอากาศแปรปรวน การคาดการณ์ในระยะยาวทำได้ยากกว่าเดิม จากปรากฏการณ์ “เอลนีโญ” และ “ลานีญา” มีการเปลี่ยนแปลงทุกๆ 3-5 ปี ตามการหมุนเวียนของระบบอากาศและกระแสน้ำ แต่ปัจจุบันสถานการณ์ไม่แน่นอนแกว่งแบบปีต่อปี 

สภาวะ “เอลนีโญ” ที่คาดการณ์ว่าจะเร่งตัวสูงสุดในช่วงปลายปี 2569 และจะส่งผลต่อสภาพอากาศทำให้ประเทศไทยร้อนจัดในช่วงฤดูร้อน ดร.เสรี คาดการณ์ว่า ในช่วงปี 2573-2574 ปรากฏการณ์ “ลานีญา” จะกลับมาอีกครั้ง สภาพอากาศสุดขั้วอาจส่งผลให้เกิดน้ำท่วมรุนแรงได้ หาก “ลานีญา” กำลังแรง ปริมาณฝนจะเพิ่มสูงขึ้นจากปกติ โดยเฉลี่ยแล้วปริมาณฝนจะเพิ่มขึ้นราวร้อยละ 5 ปริมาณฝนระดับรุนแรงจะเพิ่มขึ้นราวร้อยละ 10 ทุก 10 ปี หากน้ำเหนือหลากลงแม่น้ำเจ้าพระยามากกว่า 3,800-4,000 ลบ.ม./วินาที ในช่วงเวลาที่น้ำทะเลหนุนสูง เมื่อฝนตกหนักขึ้นแต่ไม่มีทางระบายออก หรือระบายออกไม่ทันก็อาจส่งผลกระทบต่อกรุงเทพมหานครและปริมณฑลเสี่ยงเกิดน้ำท่วมฉับพลันขึ้นได้ 

  

ระบบเตือนภัยที่ดีช่วยบรรเทาความเสียหายจากภัยพิบัติได้

เหตุการณ์ “น้ำท่วมหาดใหญ่” ที่เกิดขึ้นในช่วงปลายปี 2568 ถือเป็นหนึ่งในภัยพิบัติสำคัญที่สะท้อนให้เห็นถึงความรุนแรงของสภาพอากาศสุดขั้วได้อย่างชัดเจน โดยในบางพื้นที่มีปริมาณน้ำฝนสะสมสูงถึงประมาณ 880 มิลลิเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งนับเป็นปริมาณฝนตกหนักที่สุดในรอบกว่า 300 ปี หากในอนาคตหากเกิดขึ้นอีกครั้ง ปริมาณน้ำฝนจะเพิ่มขึ้นราวร้อยละ 10 นั่นหมายถึงความรุนแรงของภัยพิบัติจะเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม เหตุการณ์นี้ไม่เพียงสร้างความเสียหายอย่างหนักต่อพื้นที่เศรษฐกิจและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน แต่ยังเป็นบทเรียนที่เราต้องทำความเข้าใจกับภัยพิบัติในยุคโลกร้อนเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับภัยพิบัติในอนาคต ดร.เสรี ระบุว่า แม้สภาพอากาศสุดขั้วจะไม่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำในระยะยาว เนื่องจากมีความแปรปรวนสูงและมักเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน แต่การพัฒนาระบบเตือนภัยที่มีประสิทธิภาพและเข้าถึงประชาชนได้อย่างรวดเร็ว จะมีส่วนสำคัญในการลดความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สิน

นอกจากนี้แนวคิดเรื่องการ “ทำให้เมืองเย็นลง” ยังเป็นอีกหนึ่งแนวทางสำคัญในการลดความเสี่ยงจากฝนตกหนักและน้ำท่วมในเขตเมือง ทั้งการเพิ่มพื้นที่สีเขียว การจัดการผังเมืองให้เหมาะสม รวมถึงการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานให้สอดคล้องกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง จะช่วยเสริมความยืดหยุ่นของเมือง และลดผลกระทบจากภัยพิบัติที่อาจทวีความรุนแรงขึ้นในอนาคต

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง