ซื้อใจคนจน ? "อินโดนีเซีย" แจกข้าวสาร ทุ่มงบพันล้าน หวังฟื้นเศรษฐกิจ หลังเกิดเหตุประท้วงใหญ่

ซื้อใจคนจน ? "อินโดนีเซีย" แจกข้าวสาร ทุ่มงบพันล้าน หวังฟื้นเศรษฐกิจ หลังเกิดเหตุประท้วงใหญ่
ประเทศอินโดนีเซีย เจอกับวิกฤตครั้งใหญ่ ทั้งในแง่การเมืองและเศรษฐกิจ หลังประชาชนได้รวมกลุ่มชุมนุมประท้วงรุนแรงเมื่อช่วงปลายสิงหาคมที่ผ่านมา ล่าสุดวันนี้รัฐบาลจึงต้องแก้เกม งัดยาแรง หวังเรียกความนิยมให้กลับมา หนึ่งในนั้น คือ นโยบายแจกข้าวสารให้กับคนจน พร้อมทำโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ผ่านงบอัดฉีดสูงถึง 16 ล้านล้านรูเปียห์ หรือ 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ประเทศอินโดนีเซีย มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 1 ของอาเซียนและมีประชากรกว่า 280 ล้านคน มากที่สุดในอาเซียน และเป็นอันดับที่ 4 ของโลก แต่วันนี้ต้องเจอกับวิกฤตในประเทศ หลังมีเหตุการณ์ประท้วงครั้งใหญ่ในช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา แม้ต้นตอของปัญหาจะมาจากความเหลื่อมล้ำในสังคม แต่ก็กลายมาเป็นปัจจัยลบที่มาซ้ำเติมเศรษฐกิจของประเทศด้วยเช่นกัน แม้ใหญ่แค่ไหนก็ต้องถูกเขย่า เพราะวันนี้อินโดนีเซียก็เหมือนกับไทยและอีกหลายๆชาติในอาเซียน ที่เจอกับกำแพงภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ท่ามกลางความอ่อนแอของเศรษฐกิจโลกและกำลังซื้อในประเทศที่เปราะบางในยุคหลังโควิด 19
ล่าสุดรัฐบาลอินโดนีเซีย โดย "นายแอร์ลังกา ฮาร์ตาร์โต" รัฐมนตรีกระทรวงประสานงานเศรษฐกิจอินโดนีเซีย ได้แถลงข่าว ณ กรุงจาการ์ตา เมื่อกลางเดือนกันยายน ระบุว่า อินโดนีเซียได้เตรียมทุ่มเม็ดเงิน 16 ล้านล้านรูเปียห์ (หรือเกือบ 1พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ) เพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีนี้
สิ่งที่จะเกิดขึ้น คือ รัฐบาลจะจัดสรรงบประมาณให้กับ 8 โครงการหลัก เช่น โครงการแจกข้าวสารให้แก่ชาวอินโดนีเซียผู้ยากไร้ และโครงการลดหย่อนภาษีสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก นอกจากนี้ทางการยังตั้งเป้าแก้ปัญหาความไม่พอใจของผู้ประท้วงในประเทศที่เจอกับปัญหาปากท้องและความเหลื่อมล้ำ ด้วยการออกแผนงานด้านการจ้างงานและสวัสดิการต่างๆให้กับพี่น้องประชาชน โดยมีรัฐมนตรีฮาร์ตาร์โตเป็นผู้นำคณะทำงานชุดใหม่เพื่อเร่งรัดการดำเนินโครงการสำคัญ ประกอบไปด้วยการพัฒนาสหกรณ์ในหมู่บ้าน และการก่อสร้างที่อยู่อาศัยสาธารณะ
ก่อนหน้านี้นายแอร์ลังกา ฮาร์ตาร์โต คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจอินโดนีเซียน่าจะยังต้านทานแรงกระแทกจากผลกระทบของประท้วงครั้งเลวร้ายที่สุดในรอบหลายปีเอาไว้ได้ ทางการก็ยังคงเชื่อมั่นว่าประเทศอินโดนีเซียมีรากฐานแข็งแกร่ง และพยายามยืนหยัดด้วยการรักษานโยบายหนุนกำลังซื้อและแรงงานเอาไว้ พร้อมกับการกระตุ้นทางการคลังอย่างต่อเนื่อง
แต่อย่างไรก็ตาม การประท้วงครั้งนี้ได้กลายเป็นข่าวดังระดับโลก และปรากฎภาพที่น่าตกใจและมีผลต่อความเชื่อมั่น เช่น การเผาเมือง และการก่อจราจลบุกปล้นและทำลายข้าวของในบ้านนักการเมือง ขณะที่หุ้นอินโดนีเซียร่วงลงมากที่สุดในรอบเกือบ 5 เดือน หลังจากเหตุประท้วงรุนแรงขึ้น ขณะที่ธนาคารกลางอินโดนีเซียประกาศเข้าแทรกแซงตลาดปริวรรตเงินตราต่างประเทศและตลาดพันธบัตรเพื่อรักษาเสถียรภาพของค่าเงิน และมีรายงานว่าเงินรูเปียห์ของอินโดนีเซียแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย หลังจากดิ่งไปอย่างหนักเช่นกัน
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลางความไม่แน่นอนทางการเมือง ภายใต้การนำของประธานาธิบดีปราโบโว ซูเบียนโต ของอินโดนีเซีย ในช่วงปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาเกิดเหตุจลาจลรุนแรงในประเทศ ซึ่งมีชนวนเหตุมาจากปัญหาค่าครองชีพที่สูงขึ้นและความเหลื่อมล้ำ โดยกลุ่มผู้ประท้วงได้พุ่งเป้าไปที่บ้านพักของรัฐมนตรีคลังและสมาชิกรัฐสภาหลายคน เนื่องจากไม่พอใจเกี่ยวกับค่าเบี้ยเลี้ยงบ้านพักของสมาชิกสภานิติบัญญัติ ซึ่งสูงกว่าค่าแรงขั้นต่ำต่อเดือนในกรุงจาการ์ตาเกือบ 10 เท่า และความไม่พอใจยิ่งลุกลาม ทั้งจากประเด็นการขึ้นภาษี การเลิกจ้างงานจำนวนมาก และอัตราเงินเฟ้อที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อผู้มีรายได้น้อย
ประธานาธิบดีของอินโดนีเซีย สั่งปลดรัฐมนตรีคลังแบบฟ้าผ่า เซ่นพิษเศรษฐกิจและการประท้วง
การประท้วงได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่สำหรับรัฐบาลอินโดนีเซีย โดยเฉพาะการกอบกู้วิกฤต ที่ต้องใช้การทุ่มงบ ใช้เงินมหาศาล ส่งผลทำให้รัฐมนตรีคลังถูกปลดจากตำแหน่ง
รัฐมนตรีที่ถูกปลดในครั้งนี้ คือ "ศรี มุลยานี อินดราวาตี" (Sri Mulyani Indrawati) วัย 63 ปี ถูกแทนที่ด้วยนักเศรษฐศาสตร์ที่ชื่อว่า "ปูร์บายา ยูดิ ซาเดวา" (Purbaya Yudhi Sadewa)
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานถึงเรื่องนี้ ระบุว่าเป็นการสะท้อนถึงความตึงเครียดในรัฐบาลปราโบโว เมื่อผู้นำประเทศที่เป็นถึงอดีตนายพลต้องการใช้งบประมาณก้อนโตเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่รัฐมนตรีคลังที่เป็นนักเศรษฐศาสตร์เชิงเทคนิคต้องการให้ยึดมั่นในวินัยการคลัง
ทั้งนี้ อินดราวาตี รัฐมนตรีที่ถูกปลดครั้งนี้มีความสำคัญและเป็นหน้าเป็นตาให้กับรัฐบาลมาโดยเฉพาะ เพราะเธอเคยทำงานมาแล้วในรัฐบาล 3 ชุด รวมถึงตำแหน่งในกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และธนาคารโลก และได้รับการเคารพจากนักลงทุนและผู้ถือพันธบัตรทั่วโลก ช่วยเสริมความน่าเชื่อถือทางการคลังให้กับนโยบายของปราโบโวและทำให้ตลาดยังคงมั่นใจมาโดยตลอดได้
ก่อนหน้ามีข่าวว่าอินดราวาตีได้พยายามลาออกมาแล้วสองครั้งนับตั้งแต่ช่วงต้นปี ประธานาธิบดีปราโบโวจึงต้องตัดสินใจหาคนมาแทนที่ให้ได้ และพอเกิดเหตุการณ์ประท้วงขึ้นมา จึงกระตุ้นให้เกิดการปรับคณะรัฐมนตรี เพื่อแสดงให้เห็นว่าผู้นำของประเทศใส่ใจต่อเสียงสะท้อนของสังคม
มุมมองจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย วิเคราะว่าการแต่งตั้งรัฐมนตรีคลังคนใหม่ของอินโดนีเซีย สะท้อนจุดเปลี่ยนสำคัญ จากเดิมที่ยึดหลักรักษาวินัยการคลังมาสู่การขับเคลื่อนเชิงรุกที่มุ่งอัดฉีดเม็ดเงิน เพื่อตอบโจทย์ทางสังคมและฟื้นเศรษฐกิจในประเทศ ซึ่งอาจส่งผลต่อทิศทางเศรษฐกิจดังนี้
นโยบายหลักของรัฐมนตรีคลังคนใหม่ คือ การใช้มาตรกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นวงเงิน 200 ล้านล้านรูเปียห์ (1.2 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ) หรือ 0.9% ของ GDP โดยนำเงินสดจากบัญชีรัฐบาลกลางที่ฝากไว้กับธนาคารกลางเข้าสู่ระบบการเงินผ่านธนาคารของรัฐ เพื่อปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ให้แก่กลุ่มเกษตร สหกรณ์ หมู่บ้าน และผู้มีรายได้น้อย พร้อมวางข้อจำกัดไม่ให้ธนาคารนำเงินไปลงทุนในพันธบัตรหรือตราสารการเงินอื่น เพื่อเร่งให้เงินหมุนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจโดยตรง
มีการอัดฉีดเม็ดเงินเพื่อเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจและคลายแรงกดดันทางสังคม เปลี่ยนจากเดิม ซึ่งยึดกรอบขาดดุลไม่เกิน 3% ของ GDP และวางฐานรายได้ภาษีอย่างรัดกุม เป็นความพยายามในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า มุ่งเป้าไปที่การส่งผ่านเม็ดเงินหนุนสินเชื่อให้ปรับดีขึ้น จากปัจจุบันเติบโตช้าลงต่อเนื่องเหลือเพียง 6.6% ในเดือนกรกฎาคมและต่ำที่สุดในรอบ 3 ปี
ขณะเดียวกันต้องจับตาการคลังเพราะมีความเสี่ยงที่จะต้องขาดดุลเพิ่มขึ้นไปอีก จากปัจจุบันขาดดุลที่ 2.8% ต่อ GDP ในไตรมาส 2/2025 และยังไม่มีมาตรการเพิ่มรายได้ชัดเจน ขณะที่รายจ่ายภาครัฐจำนวนมากยังรอการเบิกจ่าย ดังนั้นถ้าหากเดินหน้านโยบายประชานิยมโดยขาดความรอบคอบอาจผลักดันหนี้สาธารณะให้สูงขึ้น และบั่นทอนความเชื่อมั่นนักลงทุนได้
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การเปลี่ยนทีมเศรษฐกิจและขับเคลื่อนเชิงรุกเป็นสัญญาณว่า วันนี้รัฐบาลพร้อมตอบโจทย์สังคมและเร่งฟื้นเศรษฐกิจ แต่โจทย์ใหญ่ยังอยู่ที่การรักษาสมดุลระหว่างการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อบรรลุเป้าหมายการเติบโต 8% กับการรักษาเสถียรภาพการคลังและการเงิน ซึ่งหากขาดความรัดกุมก็อาจนำไปสู่แรงกดดันต่อค่าเงินรูเปียห์ ภาระหนี้สาธารณะที่สูงขึ้นและเสถียรภาพเศรษฐกิจในระยะต่อไปได้
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
