ทำไมจีนและอินเดียหันหน้าผนึกกำลังกัน?

อินเดียและจีนมีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน สองประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลกนี้ เป็นคู่แข่งกันในภูมิภาค ที่เคยทำสงครามพรมแดนกันในช่วงทศวรรษที่ 60 และความสัมพันธ์ตกต่ำมากสุดอีกครั้งในปี 2020 ที่มีการปะทะบริเวณชายแดนจนทำให้ทหารสองฝ่ายเสียชีวิตจำนวนมาก
อย่างไรก็ตาม สองประเทศนี้กลับมีสายสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ โดยจีนนั้นมีเทคโนโลยีและวัตถุดิบที่อินเดียจำเป็นต้องใช้เพื่ออุตสาหกรรมการผลิต ในขณะที่จีนชนชั้นกลางอินเดียเป็นตลาดลูกค้าใหม่
เมื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เปิดสงครามการค้าต่อทั้งจีนและอินเดีย จึงทำให้สองประเทศเร่งเครื่องปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างกัน สัญญาณที่เห็นได้ชัด คือการเดินทางเยือนจีนของนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี เป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปี ในช่วงเวลานี้
ย้อนรอยสัมพันธ์จีน-อินเดีย
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ย้อนไปนับตั้งแต่อินเดียได้รับเอกราชในปี 1947 จีนและอินเดียเคยมีความเป็นมิตรช่วงสั้น ๆ แต่เมื่อจีนเข้าควบคุมทิเบตในปี 1950 ทำให้ทั้งสองมีชายแดนร่วมกันเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ซึ่งก่อให้เกิดความตึงเครียด การที่อินเดียให้ที่พักพิงแก่ดาลายลามะในปี 1959 เป็นสาเหตุสำคัญของความตึงเครียดครั้งแรก ในอีกสามปีต่อมา ทั้งสองฝ่ายได้สู้รบกันในสงครามสั้น ๆ เกี่ยวกับพื้นที่พิพาทชายแดนในหิมาลัย ซึ่งจีนเป็นฝ่ายชนะ แต่ความขัดแย้งยังคงอยู่ในสองพื้นที่สำคัญคือ อักไซ ชินทางตะวันตก และอรุณาจัลประเทศทางตะวันออก
ความสัมพันธ์ยังคงตึงเครียดในช่วงสงครามเย็นเมื่ออินเดียใกล้ชิดสหภาพโซเวียต ซึ่งเป็นคู่แข่งกับจีนในเวลานั้น ต่อมา ในช่วงหลังสงครามเย็น จีนเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วในฐานะมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ ขณะที่ความตึงเครียดลดลงและการค้าขยายตัว แต่นโยบายต่างประเทศที่ของจีน โดยเฉพาะโครงการเส้นทางสายไหมยุคใหม่ที่เจาะเข้าไปตามประเทศละแวกใกล้ชิดของอินเดีย สร้างความไม่ไว้วางใจให้กับรัฐบาลอินเดียในช่วงปี 2010
ความขัดแย้งในยุคใหม่นั้นเกิดขึ้นหลัง เหตุปะทะที่ด็อกแลมในปี 2017 ซึ่งอยู่ติดชายแดนกับภูฏาน จากนั้นในปี 2020 การปะทะรุนแรงที่หุบเขากัลวานในแคว้นลาดักของอินเดีย ส่งผลให้ความสัมพันธ์กับจีนชะงักงัน รัฐบาลอินเดียระงับการออกวีซ่านักท่องเที่ยวให้ชาวจีน และเพิ่มข้อจำกัดต่อเทคโนโลยีของจีน รวมทั้งแบนการใช้อุปกรณ์โทรคมนาคมของ Huawei และแบนการเข้าถึงแอปพลิเคชัน TikTok
นอกจากนี้อินเดียยังเพิ่มการตรวจสอบการลงทุนจากบริษัทจีน รวมถึงการปฏิเสธข้อเสนอการลงทุนมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์ของบริษัทยานยนต์จีน BYD และ Great Wall Motor ที่ต้องการตั้งโรงงานในอินเดีย ความตึงเครียดนี้ยังผลักดันให้อินเดียเสริมความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสหรัฐฯ ซึ่งเป็นคู่แข่งสำคัญของจีน
ความระแวงจีนยังคงอยู่ในช่วงปะทะระหว่างอินเดียและปากีสถานในปีนี้ด้วย โดยปากีสถานอ้างว่าได้ใช้เครื่องบินรบจีน J-10C ยิงเครื่องบินรบอินเดียร่วงถึง 5 ลำ ขณะที่อินเดียกล่าวหาว่าจีนให้การสนับสนุนป้องกันภัยทางอากาศและดาวเทียมแก่ฝ่ายปากีสถาน
อย่างไรก็ตาม แม้มีความบาดหมางกันมาเรื่อยๆ จีนยังคงเป็นคู่ค้ารายใหญ่สุดเป็นอันดับสองของอินเดีย รองจากสหรัฐฯ และสองประเทศมีมูลค่าการค้าขายสินค้าระหว่างกันราว 1.27 แสนล้านดอลลาร์ หรือราว 4 ล้านล้านบาท ในปีที่แล้ว โดยในจำนวนนี้ ราว 1.09 แสนล้าน หรือราว 3.5 ล้านล้านบาท เป็นการส่งออกสินค้าจีนไปอินเดีย
ทำไมอินเดียต้องการจีน?
ขณะเดียวกัน ภาคอุตสาหกรรมของอินเดียต้องการเข้าถึงเทคโนโลยีของจีน จะเห็นได้จาก การที่อินเดึยนำเข้าอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์จากกจีนในปีที่แล้วรวม 4.8 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือราว 1.6 ล้านล้านบาท สะท้อนได้ว่าอินเดียต้องพึ่งพาอะไหล่จากจีนเพื่อการประกอบอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกในประเทศ ตั้งแต่การผลิตโทรศัพท์มือถือ ไปจนถึงเครือข่ายโทรคมนาคม // นอกจากนี้ อุตสาหกรรมเวชภัณฑ์ของอินเดียยังนำเข้าส่วนประกอบทางเวชภัณฑ์จากจีนเป็นหลักด้วย
ขณะที่ อินเดียต้องพึ่งพาจีนอย่างมากในด้านธาตุโลหะหายาก เพื่อบรรลุเป้าหมายในอุตสาหกรรมยานยนต์ พลังงานหมุนเวียน และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภค โดยก่อนหน้าที่ที่จีนควบคุมการส่งออกธาตุโลหะหายากนั้นส่งผลกระทบต่ออินเดียมากกว่าชาติฐานการผลิตอื่นๆ และเกือบทำให้อุตสาหกรรมยานยนต์ของอินเดียต้องชะงัก
นอกจากนี้ อินเดียไม่ได้ต้องการแค่สินค้าและเครื่องจักรจากจีนเท่านั้น แต่อินเดียยังต้องการทักษะและความรู้ด้านเทคโนโลยีจากจีนด้วย เพื่อตอบสนองความจำเป็นด้านเทคโนโลยี ตั้งแต่แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า ไปจนถึงการกักเก็บพลังงานสะอาด โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างพลังงานที่หมุนเวียนได้และมีราคาถูกสำหรับประชากร 1,400 ล้านคน
ในอุตสาหกรรมเหล่านี้ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญในประเทศอาจยังมีไม่เพียงพอ ทำให้บริษัทใหญ่ๆของอินเดียหลายราย กำลังเริ่มพัฒนาความเป็นหุ้นส่วนกับบริษัทสัญชา๖จีนอย่างเงียบๆไปแล้ว
จีนต้องการอินเดียแค่ไหน?
แน่นอนว่าจีนก็ได้ประโยชน์มากจากการรักษาอินเดียไว้ใกล้ๆเช่นกัน ด้วยปัจจัยของการเติบโตที่ช้าภายในประเทศ ทำให้จีนมองอินเดียเป็นตลาดผู้บริโภค ที่มีประชากรมหาศาล และเป็นอีกหนึ่งอาณาเขตที่เหลืออยู่ไม่กี่แห่งที่สามารถขยายได้อีก
ในปี 2024 อินเดียนำเข้าและจำหน่ายสมาร์ตโฟนมากถึง 156 ล้านเครื่อง การตอบสนองดิจิทัลที่รวดเร็วของอินเดีย หลายเป็นบ่อทองสำหรับผู้ผลิตจีน ไม่ว่าจะเป็น Xiaomi, Vivo และ Oppo ที่ได้เข้าไปครอบตลาดในอินเดียไปแล้ว
นอกจากนี้ อินเดียยังเป็นตลาดรถยนต์ที่ใหญ่สุดอันดับสามของโลก โดยมียอดขายรถยนต์ 4.3 ล้านคันในปีที่แล้ว จึงถือเป็นตลาดเป้าหมายอีกแห่งของจีน // จะเห็นได้จากการที่ BYD บริษัทสัญชาติจีนได้ตั้งเป้าไว้อย่างเปิดเผยว่า ต้องการครองคลาดยานยนต์ในอินเดียราวร้อยละ 40
ขณะเดียว บริษัทเทคยักษ์ใหญ่ของจีน ยังได้เข้าไปทุ่มทุนหลายพันล้านดอลลาร์ในระบบนิเวศสตาร์ทอัพของอินเดียด้วย เช่น Alibaba Group Holding Ltd. และTencent Holdings Ltd. ได้ให้เงินทุนบริษัทยูนิคอร์นของอินเดีย เช่น Paytm, Zomato, Ola Electric และ Byju’s เพื่อรองรับเศรษฐกิจดิจิทัลของอินเดียที่กำลังขาขึ้น
สัมพันธ์จีน-อินเดียดีขึ้นแล้วหรือไม่?
ทั้งสองประเทศได้แสดงย่างก้าวซ่อมแซมความสัมพันธ์ระหว่างกัน โดยเริ่มเห็นชัดตั้งแต่ปีที่แล้ว ซึ่งมีการเยือนระหว่างกันของเจ้าหน้าที่ระดับสูง ตลอดจนนักธุรกิจ
ขณะที่เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา นายสุพรหมณยัม ชัยศังกระ รัฐมนตรีต่างประเทศอินเดีย ได้เดินทางเยือนจีนเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2020 ตามมาด้วยการเยือนอินเดียของนายหวัง อี้ รัฐมนตรีต่างประเทศจีน เป็นครั้งแรกในรอบสามปี ในเดือนสิงหาคม ทั้งสองต่างแสดงถึงจิตวิญญาณแห่งความร่วมมือที่ฟื้นคืนอีกครั้งระหว่างสองชาติ
นอกจากนี้ จีนยังผ่อนคลายมาตรการควบคุมการส่งออกยูเรียไปยังอินเดียด้วย ส่วนอินเดียได้กลับมาให้วีซาท่องเที่ยวแก่ชาวจีน และสายการบินในอินเดียกลังเตรียมพร้อมที่จะกลับมาเปิดเที่ยวผิดตรงระหว่างสองประเทศ
แต่จุดที่ยืนยันว่าความสัมพันธ์ของสองชาตินั้นดีขึ้นแล้ว คือ วันที่ 31 สิงหาคมที่ผ่านมา เมื่อนายกรัฐมนตรีโมดีพบกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ที่การประชุม SCO ในนครเทียนจิน โดยสองผู้นำได้หารือถึงหนทางที่จะเพิ่มการค้าทวิภาคีระหว่างกันอย่างมีสมดุล ยกระดับสายสัมพันธ์ของประชาชนสู่ประชาชน ความร่วมมือข้ามพรมแดน และร่วมการต่อต้านการก่อการร้าย
แม้ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดขึ้นเกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยสอง แต่ก็ถูกขับเคลื่อนจากการที่สหรัฐฯหันหลังให้กับอินเดียเช่นกัน โดยในสมัยที่ทรัมป์เป็นประธานาธิบดีครั้งแรก ตอนนั้น สหรัฐฯมองอินเดียเป็นพันธมิตรใกล้ชิดในการต่อต้านจีน แต่ในครั้งนี้ ทรัมป์กลับใช้แนวทางแข็งกร้าวต่ออินเดีย ใช้มาตรการภาษีระดับสูงต่ออินเดีย ตลอดจนวิจารณ์กำแพงการค้าของอินเดีย และการที่อินเดียซื้อน้ำมันราคาถูกจากรัสเซีย เป็นต้น ท่าทีเหล่านี้ ทำให้อินเดียและจีนถูกผลักไปอยู่มุมเดียวกัน
อินเดียและจีนจะฟื้นฟูสัมพันธ์ได้เต็มรูปแบบหรือไม่?
สำนักข่าวบลูมเบิร์กวิเคราะห์ว่า สำหรับอินเดีย ความคลางแคลงใจนั้นชัด เพราะการพึ่งพาจีนมากเกินไป นั้นตอกย้ำความเสี่ยงที่เปราะบางในอดีต ดังที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว เมื่อเกิดภาวะช็อคของระบบห่วงโซ่อุปทาน จากการที่จีนจำกัดการส่งออกชิ้นส่วนประกอบสำคัญและธาตุหายาก
สำหรับจีน ความเสี่ยงอยู่ในทางยุทธศาสตร์ จีนรู้ดีว่าอินเดียกำลังอยู่ในเส้นทางพัฒนาเหมือนที่จีนเคยเป็นมา นั่นก็คือ การนำเข้าความรู้จากต่างชาติเพื่อต่อยอดเติบโตในอุตสาหกรรมใหม่ๆ จึงทำให้จีนระมัดระวังที่จะผ่องถ่ายความเชี่ยวชาญไม่ให้มากเกินไป เพราะอินเดียอาจกลายเป็นคู่แข่งโดยตรงได้ในอุตสาหกรรมกรีนเทค อิเล็กทรอนิก และการขนส่งที่ยั่งยืน
จุดเดิมพันจึงอยู่ที่ว่า อินเดียจะได้รับเทคโนโลยีที่ต้องการจากจีนเพื่อบรรลุเป้าหมายและสร้างทางออกที่ไม่แพงสำหรับประชากรจำนวนมหาศาลได้หรือไม่ และจีนจะสามารถจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีของอินเดีย เพื่อรักษาอิทธิพลของจีนที่มีต่อโลกได้อย่างไรนั่นเอง...
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
