AI for All : จะทำอย่างไร ถ้า AI อาจไม่ได้ช่วยให้มนุษย์ดีขึ้นได้ทุกคน !?

AI อาจเป็นเครื่องมือที่ส่งเสริมการทำงานและความสามารถของมนุษย์ แต่ AI จะเข้าถึงทุกคนได้หรือไม่ ?
คำถามนี้เป็นหัวใจหลักของการเสวนาหัวข้อ Al for All: Ensuring No One Is Left Behind in the Age of Al ภายในงาน GCNT EXPO 2025
ความเหลื่อมล้ำจากการมาของ AI
หากเราจะเข้าถึง AI ก็ต้องมีอุปกรณ์พร้อมอินเทอร์เน็ต
ซึ่งจากการสำรวจของสำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) ระบุว่าคนไทยเข้าถึงอินเทอร์เน็ต 90.3%
ดร.ศักดิ์ เสกขุนทด ที่ปรึกษาอาวุโส สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ., ETDA) มองว่าคนไทยเป็นคนที่ชื่นชอบการเข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น ChatGPT และใช้งานในชีวิตประจำวัน ซึ่งทำให้ต้นทุนเทคโนโลยีต่ำลง ราคาดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม ยังมีคนอีกไม่น้อยในประเทศ ที่เข้าถึงเทคโนโลยีไม่ได้ ซึ่งเกิดขึ้นกับทั้งเชิงโครงสร้างระดับชาติ การศึกษา เด็ก หรือแม้แต่ผู้พิการ
ความเหลื่อมล้ำด้านอุปกรณ์และฮาร์ดแวร์
ดร.ราชศักดิ์ สมยานนทนากุล เลขานุการและกรรมการสมาคมปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย มองว่าประเทศไทยไม่สามารถเข้าถึงฮาร์ดแวร์ (Hardware) เช่น GPU ที่ใช้พัฒนาระบบ AI ได้
ดังนั้น การที่นักวิจัย หน่วยงาน นักเรียน นักศึกษา หรือแม้แต่สตาร์ตอัปจะต้องการพัฒนาองค์กรด้วย AI จะต้องจ่ายเงินเพื่อเข้าถึงบริการ ซึ่งถือว่าเป็นความเหลื่อมล้ำในเชิงสร้างระดับประเทศ
ความเหลื่อมล้ำในเด็กและเยาวชน
ด้าน ดร.ศรีดา ตันตะอธิพานิช กรรมการผู้จัดการมูลนิธิอินเกอร์เน็ตร่วมพัฒนาไทย หน่วยงานมูลนิธิอินเทอร์เน็ตร่วมพัฒนาไทย ชี้ความเหลื่อมล้ำของ AI โดยเฉพาะในเด็กและเยาวชน เริ่มตั้งแต่ว่า เด็กมีอุปกรณ์หรือไม่ มีอินเทอร์เน็ตใช้หรือเปล่า
และแม้ว่าเข้าถึงได้ก็ใช่ว่าจะดี เช่น คนเมืองที่ภาพระบบสตรีมมิงกระตุกก็หงุดหงิด เพราะชินกับอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ต่างจากคนชายขอบ ที่แม้จะได้อินเทอร์เน็ตความเร็วต่ำก็ต้องใช้เพราะดีกว่าไม่มี
ความเหลื่อมล้ำของผู้พิการ
ในขณะที่ ศ.วิริยะ นามศิริพงศ์พันธุ์ ประธานกิดดิมศักดิ์ มูลนิธิสากลเพื่อคนพิการ มองว่าความเหลื่อมล้ำของ AI กับคนพิการ คือ “การถูกละเลย”
ยกตัวอย่างกรณีคนหูหนวก มีไวยากรณ์ภาษาที่ต่างจากภาษาไทยปกติ เช่น “ฉันตีหมา” ในประโยคภาษาไทย จะเป็น “หมาตีฉัน” สำหรับภาษามือ ดังนั้น การพัฒนา AI ของคนหูหนวกจึงยากกว่ามาก
นอกจากนี้ ในเวทียังเห็นว่า ปัญหาการใช้ AI อย่างไม่สร้างสรรค์ เช่น การสร้างภาพอนาจารจาก AI หรือการสร้างข่าวปลอม การหลอกลวงเยาวชนผ่านการสนับสนุนด้วยข้อมูลจาก AI ฯลฯ ก็เป็นอุปสรรคต่อการเข้าถึง AI อีกด้วย
แนวทางแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำจากการมาของ AI
ดร.ศักดิ์ มองว่าความเหลื่อมล้ำและปัญหาต่าง ๆ ที่พูดบนเวทีนั้นแก้ได้ด้วยกฎหมายเพื่อ “กำกับการเอาไปใช้” ซึ่งมาจากภาคเอกชนที่ร้องขอภาครัฐ เพื่อให้ประเทศไทย “ใช้ AI ได้อย่าง OK”
ในมุมมอง ดร.ศักดิ์ มองว่า กฎหมายที่เหมาะสมคือการให้อำนาจ (Empower) หน่วยงานเดิมที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี AI กำกับดูแลให้ทันการณ์
สมมติเช่น รถไร้คนขับ เพื่อปลดล็อกการเดินทางให้ผู้พิการ จะไม่ใช่การให้มีหน่วยงานใหม่มากำกับรถไร้คนขับ แต่เป็นการให้อำนาจกรมการขนส่งทางบก เพื่อสร้างพื้นที่ทดลอง (Sandbox) เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลและหาแนวทางที่เหมาะสม
นอกจากนี้ ดร.ศักดิ์ชี้ว่า กฎหมายต้องไม่เป็นภาระต่อการพัฒนา AI ของภาคเอกชนด้วย โดยยกตัวอย่างกฎหมายควบคุม AI ในสหภาพยุโรปที่เกิดขึ้นและเสียงวิจารณ์ในทางลบอย่างมาก เนื่องจากมีขั้นตอนเอกสารและการตรวจสอบเกินจำเป็น
ในขณะเดียวกัน ดร.ศักดิ์ และ ศ.วิริยะ เห็นตรงกันว่า การแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำและการเข้าถึงอย่างเหมาะสมควรเริ่มจากเยาวชน โดยกำหนดอายุขั้นต่ำในการเข้าถึงเครื่องมือ AI ต่าง ๆ แบบในต่างประเทศ แม้ว่าความเป็นจริงในประเทศไทยจะมีอำนาจต่อรองต่อผู้ให้บริการต่ำก็ตาม
สุดท้าย การจะแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำได้ ทุกคนบนเวทีมองว่าจะต้องกำกับและดูแลให้การใช้งานเกิดประโยชน์ในทางที่ดี รวมไปถึงเปิดโอกาสให้เกิดการแข่งขัน ตลอดจนให้ภาครัฐสนับสนุนผู้ด้อยโอกาสให้มากขึ้น จึงจะเป็นหนทางที่แก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำจากการเข้าถึง AI ในไทย
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
