เหตุผล "Walmart" ปฏิวัติค้าปลีก จับมือ OpenAI สู่ยุค AI-First

ยักษ์ใหญ่ในวงการค้าปลีกสหรัฐฯ Walmart ประกาศจับมือกับ OpenAI บริษัทเทคโนโลยีผู้สร้าง ChatGPT เปิดให้ผู้ใช้ซื้อสินค้าของ วอลมาร์ต และ Sam’s Club ได้โดยตรงผ่าน ChatGPT เพียงแค่แชตและซื้อสินค้าได้โดยไม่ต้องเข้าลิงค์อื่นหรือแอปอื่นอีก นั่นหมายถึงว่า สินค้าของร้านค้าปลีก พร้อมจำหน่ายผ่านระบบชำระเงินทันที ของ ChatGPT เลย อย่างไรก็ดี ความร่วมมือครั้งนี้ ยังไม่มีการระบุว่าจะเริ่มขึ้นได้เมื่อใด มีเพียงว่า บริการดังกล่าวพร้อมใช้งานได้ ในเร็ว ๆ นี้
แต่สำหรับ Walmart ถือเป็นความพยายามในการเร่งพัฒนาตัวเอง เพื่อให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของวิธีที่ผู้บริโภคใช้ค้นหาสินค้าที่ต้องการ ซึ่งนอกจากข้อมูลบนโซเชียล มีเดีย หรือสินค้าที่ผู้ค้าปลีกมักจะแนะนำผ่านในช่องทางออนไลน์ต่าง ๆ แล้ว ปัจจุบัน ผู้ซื้อยังหันไปใช้ ChatGPT หรือ แชตบอทอื่น ๆ ที่คล้ายคลึงกัน เพื่อหาไอเดีย เช่น ซื้อของขวัญ การศึกษาตัวอย่างสินค้า และเปรียบเทียบข้อเสนอ หรือ หาดีล ที่ดีที่สุด กันมากขึ้น
โดย Walmart มองว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในประสบการณ์ การชอปปิงออนไลน์ ด้วยการนำเทคโนโลยี เอไอ มาใช้ เพื่อยกระดับรูปแบบการค้าหา และการเลือกซื้อสินค้าที่แตกต่างไปจากเดิม ที่ใช้กันมานาน
ซึ่ง Doug McMillon ซีอีโอ Walmart กล่าวว่า โดยทั่วไปการชอปปิงในแบบอีคอมเมิร์ซ มักจะมีแถบค้นหา และรายการสินค้าแบบยาวเหยียด ซึ่งมีมานานหลายปีแล้ว แต่ตอนนี้ ทุกอย่างกำลังจะเปลี่ยนไป โดยฟีเจอร์ เอไอ จะเป็นรูปแบบ มัลติมีเดีย สามารถนำเสนอสินค้าได้แบบเฉพาะเจาะจง และมีความเข้าใจในบริบทหรือสถานการณ์ปัจจุบันของผู้ซื้อมากยิ่งขึ้น นั้นทำให้ Walmart กำลังมุ่งหน้าไปสู่อนาคตที่ทั้งสนุกสนาน และสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามครั้งล่าสุดของยักษ์ใหญ่ค้าปลีกรายนี้ กับการนำ เอไอ ขั้นสูง เข้ามาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน ในประสบการณ์การชอปปิงรูปแบบใหม่ ที่เน้น เอไอ มาก่อน หรือ AI-First
การร่วมกับ ChatGPT นี้จะทำให้การชอปปิงเป็นไปในเชิงรุกมากขึ้นสำหรับผู้ใช้งาน และทำให้ได้เรียนรู้ วางแผน และคาดการณ์ความต้องการในการซื้อสินค้าของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น จากช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา Walmart ได้เดินหน้าส่งเสริม การนำ เอไอ เข้ามาใช้งานภายในบริษัทและการให้บริการแก่ลูกค้าต่อเนื่อง ตั้งแต่การปรับปรุงข้อมูลสินค้าในแคตตาล็อก การช่วยลดระยะเวลาการแก้ไขปัญหาของลูกค้าให้เร็วขึ้น และยังส่งเสริมให้พนักงานมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ เอไอ อย่างจริงจังมากขึ้น อีกด้วย
ซึ่ง Daniel Danker รองประธานบริหารฝ่ายขับเคลื่อน เอไอ ผลิตภัณฑ์ และการออกแบบ เอไอ ของ Walmart กล่าวในแถลงการณ์ บอกว่า เอไอ กำลังเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งที่เราทำ ตั้งแต่แคตตาล็อกที่ชาญฉลาดยิ่งขึ้น ไปจนถึงการจัดส่งที่รวดเร็วขึ้น และมันจะทำงานได้ก็ต่อเมื่อผู้คนไว้วางใจเป็นอย่างดี
ปัจจุบันมีรายงานว่า Walmart มีลูกค้าและสมาชิกที่ซื้อสินค้าที่ร้านค้า Walmart และบนเว็บไซต์ของบริษัทฯ มากกว่า 255 รายต่อสัปดาห์
มาในฝั่งของ OpenAI ความร่วมมือดังกล่าว ตอกย้ำให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่ต้องการเปลี่ยน แชตบอต ให้เป็นร้านค้าเสมือนจริง เพื่อเป็นหนทางไปสู่การสร้างรายได้ของบริษัทฯ โดย Sam Altman ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอ OpenAI กล่าวถึงความร่วมมือนี้ บอกว่า ตนเองรู้สึกตื่นเต้นที่ได้ร่วมมือกับ Walmart เพื่อช่วยให้การซื้อของในชีวิตประจำวันง่ายยิ่งขึ้น และบอกอีกว่า นี่เป็นเพียงวิธีหนึ่ง ที่ เอไอ จะเข้ามาช่วยผู้คนในทุก ๆ วัน ผ่านการทำงานของเรา
ทั้งนี้ เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา Walmart เพิ่งจะประกาศฟีเจอร์ใหม่บน ChatGPT คือ Instant Checkout เป็นฟีเจอร์ที่ช่วยให้ผู้ใช้งาน สามารถถามหา หรือให้ช่วยค้นหาสินค้าที่ตนเองต้องการได้แบบเฉพาะเจาะจง เช่น ที่นอนที่ดีที่สุด ราคาไม่เกิน 1,000 ดอลลาร์ หรือ ของขวัญสำหรับคนชอบอ่านหนังสือ เมื่อได้คำตอบแล้ว จะสามารถซื้อสินค้าที่แนะนำได้ทันทีภายในแชต โดยไม่ต้องออกไปที่แอปอื่น
และในการเปิดตัวครั้งนั้น บริษัทฯ ระบุว่า ฟีเจอร์ดังกล่าว จะช่วยให้ผู้ซื้อสามารถซื้อสินค้าผ่าน Walmart ได้ในไม่ช้า แต่จะเริ่มต้นกับการรองรับการซื้อสินค้ารายการเดียวจากผู้ขายใน Etsy ก่อน ซึ่ง Etsy เป็นแพลตฟอร์มตลาดออนไลน์ที่เน้นขายสินค้า แฮนด์เมด สินค้าวินเทจ และอุปกรณ์งานฝีมือ
ส่วนร้านค้าบน Shopify มากกว่าหนึ่งล้านราย รวมถึงแบรนด์อย่าง Skims ซึ่งเป็นแบรนด์ชุดชั้นใน และแบรนด์ความงาม Glossier ก็กำลังจะเข้าร่วมในเร็ว ๆ นี้ด้วยเช่นกัน
ฟีเจอร์ Instant Checkout จึงถือเป็นช่องทางสร้างรายได้ใหม่ให้กับ OpenAI และเมื่อร่วมกับ Walmart จึงเป็นการก้าวกระโดดครั้งสำคัญในการเข้าไปแข่งขันกับยักษ์ใหญ่ทั้ง Amazon และ Google เพื่อชิงส่วนแบ่งรายได้จากค่าธรรมเนียมการซื้อขายออนไลน์ ที่จะกลายเป็นแหล่งรายได้ใหม่
จากที่ผ่านมา OpenAI ยังไม่เคยทำกำไร และยังต้องพึ่งพาเงินลงทุนจากนักลงทุนมาโดยตลอด เพื่อใช้ในการพัฒนาและดำเนินการระบบ เอไอ
นอกจากนี้ ในงานสัมมานักพัฒนา หรือ Dev Day ที่ OpenAI จัดขึ้นครั้งล่าสุด อัลต์แมน ได้ประกาศตัวเลขผู้ใช้งาน ChatGPT แบบรายสัปดาห์ ทะลุ 800 ล้านคน ซึ่งเพิ่มขั้นอย่างก้าวกระโดด จากสิ้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ตัวเลขอยู่ที่ 500 ล้านคนต่อสัปดาห์
ซึ่ง Sam Altman กล่าวว่า ปัจจุบันมีนักพัฒนา 4 ล้านคนที่สร้างโปรเจกต์โดยใช้ OpenAI มีผู้ใช้งาน ChatGPT มากกว่า 800 ล้านคนทุกสัปดาห์ และ API ของบริษัทฯ ประมวลผลข้อความกว่า 6,000 ล้านโทเคนต่อนาที ทำให้ เอไอ ไม่ได้เป็นแค่ของเล่นอีกต่อไป แต่กลายเป็นเครื่องมือที่ผู้คนใช้สร้างสิ่งใหม่ ๆ ขึ้นทุกวัน ไม่ใช่แค่ Walmart เท่านั้นที่กำลังเปลี่ยนผ่าน (ทรานสฟอร์ม) ภาคค้าปลีก เข้าสู่ยุค เอไอ
ยักษ์ใหญ่ในวงการอีคอมเมิร์ซอย่าง Amazon ก็กำลังเข้าสู่โลกของ เอไอ เช่นกัน
ในแบบ agentic AI หรือ บอท เอไอ ที่ทำหน้าที่แทนมนุษย์ เช่นกัน ผ่านฟีเจอร์ที่ชื่อว่า Buy for Me ในแอป Amazon Shopping ซึ่งช่วยให้ลูกค้าสามารถซื้อสินค้าจากผู้ขายที่ไม่มีสินค้านั้นบน Amazon.com ได้โดยไม่ต้องออกจากระบบของ Amazon
มีการอธิบายบนเว็บไซต์ของบริษัทฯ ไว้ว่า หากลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้าด้วยฟีเจอร์ Buy for Me แล้ว สามารถกดปุ่ม Buy for Me บนหน้ารายละเอียดสินค้า เพื่อให้ Amazon ช่วยทำการซื้อสินค้าจากเว็บไซต์ของร้านค้านั้นแทน ได้เลย
จากนั้น ลูกค้าจะถูกนำไปยังหน้าชำระเงินเพื่อยืนยันรายละเอียดคำสั่งซื้อ เช่น ที่อยู่จัดส่งที่ต้องการ, ภาษีและค่าขนส่งที่เกี่ยวข้อง รวมถึงวิธีการชำระเงิน
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
