เปิดตำนาน "ไซยาไนด์" จากความบังเอิญทางศิลปะ สู่สารพิษพลิกประวัติศาสตร์โลก

"ไซยาไนด์" ชื่อนี้มักปรากฏในหน้าสื่อมวลชนในฐานะมัจจุราชเงียบที่คร่าชีวิตผู้คนได้อย่างเฉียบพลัน แต่ในอีกด้านหนึ่งของเหรียญ สารเคมีชนิดนี้มีประวัติศาสตร์อันยาวนานและซับซ้อนกว่าเพียงแค่ความเป็น "ยาพิษ" มันคือนวัตกรรมที่เปลี่ยนโลกอุตสาหกรรม เป็นความผิดพลาดที่งดงามทางศิลปะ และเป็นโศกนาฏกรรมในหน้าประวัติศาสตร์สงคราม เจาะลึกเบื้องหลังของไซยาไนด์ ตั้งแต่จุดกำเนิดทางเคมีไปจนถึงบทบาทในสังคมปัจจุบัน
ไซยาไนด์ (Cyanide)
ไซยาไนด์ (Cyanide) ไม่ใช่เพียงสารพิษชนิดเดียว แต่เป็นกลุ่มทางเคมีที่มีองค์ประกอบหลัก คือ คาร์บอนและไนโตรเจน สามารถปรากฏได้หลายสถานะหากอยู่ในรูปก๊าซ ไฮโดรเจนไซยาไนด์ (Hydrogen Cyanide) จะไร้สีและมีอันตรายสูงสุด แต่หากเป็นของแข็งมักพบในรูปผลึกเกลือสีขาว เช่น โพแทสเซียมไซยาไนด์ (Potassium Cyanide) ซึ่งละลายน้ำได้ดี
คุณสมบัติที่เป็นเอกลักษณ์ซึ่งถูกเล่าขานกันมาคือกลิ่นคล้ายอัลมอนด์ขม อย่างไรก็ตาม ข้อมูลทางการแพทย์ระบุว่า มนุษย์ไม่สามารถรับรู้กลิ่นนี้ได้ทุกคน การจะได้กลิ่นเตือนภัยธรรมชาตินี้ขึ้นอยู่กับพันธุกรรมเฉพาะบุคคล ซึ่งมีเพียงประชากรบางส่วนของโลกเท่านั้นที่สัมผัสได้
ความผิดพลาดของการคิดค้นสี สู่การค้นพบทางเคมีประวัติศาสตร์ของไซยาไนด์เริ่มต้นขึ้นในปี ค.ศ. 1704 จากความบังเอิญ ไฮน์ริช ดีสบัค (Heinrich Diesbach) ช่างทำสีชาวเยอรมัน พยายามผสมสีแดงแต่เกิดความผิดพลาดจากสารปนเปื้อน ผลลัพธ์ที่ได้กลับกลายเป็นตะกอนสีน้ำเงินเข้มที่งดงามและคงทน ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามสีน้ำเงินปรัสเซียน (Prussian Blue) นับเป็นสีสังเคราะห์ชนิดแรกๆ ของโลกที่ปฏิวัติวงการจิตรกรรม
โศกนาฏกรรมนักวิทย์ผู้ถูกลืม
คาร์ล วิลเฮล์ม เชเลต่อมาในปี ค.ศ. 1782 คาร์ล วิลเฮล์ม เชเล (Carl Wilhelm Scheele) นักเคมีชาวสวีเดน ได้ทำการสกัดสารจากสีน้ำเงินปรัสเซียนจนค้นพบ "กรดปรัสสิก" หรือไฮโดรเจนไซยาไนด์ แต่ด้วยพฤติกรรมความใฝ่รู้ที่มักทำการทดลองด้วยการดมและชิมสารเคมี ทำให้สารพิษสะสมในร่างกายและคร่าชีวิตเขาไปก่อนวัยอันควร
ไอแซค อสิมอฟ นักเขียนชื่อดัง เคยกล่าวถึงเชเลว่าเป็นนักเคมีผู้โชคร้ายที่โลกลืม เนื่องจากผลงานการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ของเขาไม่ได้รับการยกย่องเท่าที่ควรในช่วงที่มีชีวิตอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการค้นพบธาตุออกซิเจน, คลอรีน, ทังสเตน รวมถึงสารประกอบอินทรีย์สำคัญอย่าง กรดยูริก และกลีเซอรอล
คาร์ล วิลเฮล์ม เชเล (Carl Wilhelm Scheele)
ยุคตื่นทองและการปฏิวัติอุตสาหกรรมเมื่อเข้าสู่ศตวรรษที่ 19 ไซยาไนด์ได้เปลี่ยนสถานะจากสารเคมีในห้องทดลองสู่กลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก จุดเปลี่ยนสำคัญคือการค้นพบ กระบวนการแมคอาเธอร์-ฟอร์เรสต์ (MacArthur-Forrest process) ซึ่งใช้สารละลายไซยาไนด์ในการแยกทองคำออกจากแร่ดิบ
เทคโนโลยีนี้ช่วยให้การสกัดทองคำทำได้ในปริมาณมหาศาลและกลายเป็นมาตรฐานอุตสาหกรรมเหมืองแร่ทั่วโลกจนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ยังถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมชุบโลหะด้วยไฟฟ้า (Electroplating) เพื่อความสวยงามและป้องกันสนิมอีกด้วย
จากสนามรบสู่ค่ายกักกันศตวรรษที่ 20 คือ ยุคมืดของไซยาไนด์อย่างแท้จริง แม้ความพยายามใช้ก๊าซไซยาไนด์เป็นอาวุธในสงครามโลกครั้งที่ 1 จะไม่ประสบผลสำเร็จเนื่องจากปัญหาการควบคุมทิศทาง แต่ในสงครามโลกครั้งที่ 2 นาซีเยอรมันได้ดัดแปลงไซคลอน บี (Zyklon B) ซึ่งเดิมเป็นสารกำจัดแมลง มาใช้ในห้องรมก๊าซเพื่อสังหารหมู่ชาวยิวและนักโทษนับล้านคน กลายเป็นรอยด่างพร้อยครั้งใหญ่ที่สุดของมนุษยชาติ
นอกจากนี้ ในช่วงสงครามเย็น ไซยาไนด์ยังกลายเป็นสัญลักษณ์ของจารชน ในรูปแบบแคปซูลยาพิษสำหรับปลิดชีพตนเองเพื่อปกป้องความลับทางราชการเมื่อถูกจับกุม
ดาบสองคมในโลกยุคปัจจุบันปัจจุบัน ไซยาไนด์ยังคงแทรกซึมอยู่ในชีวิตประจำวันทั้งในรูปแบบที่เป็นคุณและโทษ ในภาคอุตสาหกรรม มันคือสารตั้งต้นสำคัญในการผลิตพลาสติก ไนลอน กาว และยาฆ่าแมลง รวมถึงการใช้งานในเหมืองทองคำภายใต้มาตรการควบคุมที่เข้มงวด
ขณะเดียวกัน ธรรมชาติก็ได้สร้างสรรค์ไซยาไนด์ขึ้นในพืชหลายชนิดเพื่อเป็นกลไกป้องกันตัวเอง เช่น ในมันสำปะหลังดิบ หน่อไม้ดิบ หรือเมล็ดผลไม้ตระกูลกุหลาบ ทว่าด้วยฤทธิ์เดชที่ยับยั้งการใช้ออกซิเจนของเซลล์สิ่งมีชีวิตอย่างรุนแรง ไซยาไนด์จึงยังคงปรากฏในหน้าข่าวอาชญากรรมในฐานะวัตถุอันตราย ที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดที่สุดชนิดหนึ่งของโลก
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
